รายงานเอดีบีบ่งชี้ว่าประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังประสบภาวะสมองไหล เพราะแรงงานที่มีความรู้เลือกไปทำงานต่างประเทศ ขณะที่แรงงานต่างชาติในไทยมีคุณสมบัติสูงเกินตำแหน่งงานไปมาก
ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือเอดีบี เผยผลสำรวจสถานการณ์ด้านแรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าทั่วทั้งภูมิภาคกำลังประสบปัญหาสมองไหล เนื่องจากบุคลากรที่มีความสามารถเลือกที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศมากกว่าอยู่ในประเทศ
จุดหมายปลายทางหลักที่แรงงานเหล่านี้เดินทางไปทำงานมากที่สุด คือ กลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี ซึ่งมีทั้งหมด 35 ประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย
รายงานของเอดีบีซึ่งรวบรวมข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงปี 2010 ถึง 2011 พบว่าบุคลากรที่จบการศึกษาปริญญาตรีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 2.8 ล้านคน เดินทางไปทำงานในกลุ่มประเทศโออีซีดีและประเทศในตะวันออกกลาง โดยร้อยละ 66 ของแรงงานอพยพเหล่านั้นเป็นชาวฟิลิปปินส์
ส่วนบุคลากรที่จบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีในสิงคโปร์ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ประมาณร้อยละ 10 ถึง 15 เลือกที่จะไปทำงานและอาศัยอยู่ในกลุ่มประเทศโออีซีดีมากกว่าอยู่ในประเทศเช่นเดียวกัน ซึ่งโยกย้ายถิ่นฐานไปทำงานต่างประเทศยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเจริญรุดหน้ามากกว่าช่วงสิบปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้บุคลากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไปทำงานในกลุ่มประเทศโออีซีดีมีคุณสมบัติสูงเกินกว่าตำแหน่งที่ว่าจ้างไปมาก โดยเฉพาะแรงงานจากฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของแรงงานในโออีซีดี และสถานการณ์เดียวกันนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับบุคลากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มาทำงานในไทยเช่นกัน เพราะเอดีบีระบุว่าร้อยละ 52 ของแรงงานต่างชาติที่มาทำงานในไทย มีวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงานสูงกว่าตำแหน่งงานที่ได้รับการว่าจ้าง ส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม
นอกจากนี้ยังมีรายงานของธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงค์ ซึ่งสำรวจข้อมูลเมื่อปี 2016 พบว่าแรงงานในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไปทำงานในกลุ่มประเทศโออีซีดีส่งเงินกลับมายังบ้านเกิดรวมกว่า 429,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมาก แต่ภูมิภาคนี้ก็อาจจะต้องเสี่ยงกับปัญหาขาดแคลนบุคลากรในภาคส่วนที่สำคัญเช่นกัน
แวดวงที่จะประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรมากที่สุด ได้แก่ การแพทย์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การบริหารจัดการ และการศึกษา ซึ่งล้วนเป็นรากฐานที่จำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไม่แพ้กัน