พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรภายหลังถูกกล่าวหาว่าการอนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองอยู่ในแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรองของกทม.ตั้งแต่ปี 2552 โดยให้สายรองเป็นอำนาจดำเนินการของท้องถิ่น ต่อมาคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกได้เห็นชอบให้กทม.ดำเนินการโครงการและมีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กทม.ดำเนินการ ในระหว่างนั้นกทม.โดยเคที (บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด) หาแนวทางที่จะลงทุนในส่วนนี้ เพราะกทม.ไม่มีสภาพคล่อง โดยทางเคทีตกลงกับภาคเอกชนที่จะให้เอกชนซื้อโฆษณาล่วงหน้าของสายสีทองจำนวน 30 ปีประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าของการโฆษณามีจำนวนมาก
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นกทม.มอบหมายให้เคทีดำเนินการ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่พึ่งงบประมาณของกทม. เคทีก็ได้ลงนามในเอ็มโอยูเรื่องโฆษณา เมื่ออนุมัติดำเนินการ ทางเอกชนให้งบประมาณกับเคทีเพื่อเป็นค่าโฆษณา เคทีไปดำเนินการสร้างโยธาของสายสีทอง ถ้าพิจารณาตรงนี้ถือว่าระบบขนส่งมวลชนเป็นความจำเป็นของทุกเมือง เพราะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจร สิ่งแวดล้อม ลดการใช้ยานพาหนะของประชาชน และลดอุบัติเหตุ ระบบขนส่งมวลชนที่จะต้องเป็นระบบรางที่มีทั้งระบบหลักและระบบาง เพื่อดึงให้คนเข้าสู่ระบบการขนส่งมวลชนให้มากที่สุด
ปัญหาของการดำเนินการ คือ ทำได้ช้ามากและใช้เงินลงทุนมากกว่าจะคุ้มทุนต้องใช้เวลา 10 ปี ในอดีตที่ผ่านมามีเอกชนลงทุนงานโยธาเพียงเดียว คือ บีทีเอส และประสบปัญหาการขาดทุน จากนั้นเป็นต้นมาภาครัฐต้องเข้ามาลงทุนสร้างงานโยธาเองและจ้างบริษัทเดินรถ ทำให้การลงทุนเป็นได้ล่าช้า จึงนำมาสู่การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง คือ หากมีเอกชนรายใดต้องการสร้างงานโยธาของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่และขอดำเนินการลงทุนทั้งหมด ก็ควรจะต้องพิจารณา โดยมีหลักการพิจารณาว่าถ้าประเทศชาติได้ประโยชน์ก็ควรรับพิจารณาแต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรม มิเช่นนั้น จะต้องรอให้รัฐลงทุนเองซึ่งจะเป็นไปได้ช้ามาก
เรื่องนี้เมื่อมีการดำเนินการก่อสร้างแล้ว รัฐจะได้เส้นทางสายสีทองมาโดยไม่ได้ลงทุนงานก่อสร้าง ประชาชนได้สายรองในพื้นที่ที่จะสามารถขยายต่อไปได้อีก ส่วนเอกชนก็สามารถดำเนินประกอบธุรกิจได้ ส่วนการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีปี 2537 ที่ในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์จะต้อสร้างเป็นระบบใต้ดินนั้นสายสีทองเป็นสายรองที่ต้องเชื่อมกับสายอื่นๆ เช่น สายสีเขียวที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น หากไม่ทำเช่นนี้จะต้องใช้เงินลงทุนและเวลาดำเนินการอีกมาก ดังนั้น มติครม.จึงยกเว้นให้สามารถก่อสร้างบนดินได้ เพื่อเชื่อมกับสายสีเขียว
"อยากเสนอสภาให้ช่วยพิจารณาเรื่องคำว่า "เอื้อ" ด้วย การลงทุนในประเทศจะต้องมีนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ จึงต้องมีช่องให้นักลงทุนภายในประเทศได้มีโอกาสลงทุน ขณะนี้สังคมกำลังคิดว่าทางเอกชนรวยมากและได้เปรียบ ขอให้ลองพิจารณาดูว่าที่จะให้คนที่รวยที่ลงทุนในแผ่นดินภายใต้กฎหมาย ถ้าไม่ให้ลงทุนแล้วก็อยู่อย่างนี้อยู่เฉยๆ แต่เมื่อเรามีความสามารถจะทำได้ ก็ควรดำเนินการ ในคณะรัฐมนตรีนั้นนายกฯเพียงคนเดียวสั่งไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่มีใครยอมไปเป็นคดี และอยู่ในคณะรัฐมนตรีก็มีหลายเรื่องที่ไม่เห็นด้วยและก็ถอนกลับไปเสมอ ดังนั้น มติครม.ก็เป็นมติครม.ไม่ใช่นายกฯ" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :