นับตั้งแต่การระบาดเริ่มขึ้นเมื่อเดือน ม.ค. จนถึงตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในฮ่องกงอยู่ที่ 1,026 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย โดยครั้งก่อนหน้านี้ที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มในฮ่องกงคือเมื่อวันที่ 5 มี.ค.
โรงเรียนต่างๆ ในฮ่องกงยังคงปิดการเรียนการสอน ประชาชนจำนวนมากยังคงทำงานจากบ้าน ส่วนห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารก็มีผู้คนบางตา โดยที่ผ่านมาฮ่องกงไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มขั้นแบบเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น กรุงลอนดอนและนครนิวยอร์ก แต่ชาวฮ่องกงเกือบทั้งหมดสวมหน้ากากอนามัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าและหน่วยงานสาธารณะต่างๆ ก็จะตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและตั้งจุดบริการเจลล้างมือฟรี โดยทางการฮ่องกงห้ามประชาชนรวมตัวเกินกว่า 4 คน เป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่ 29 มี.ค. ก่อนขยายข้อห้ามดังกล่าวไปจนถึง 23 เม.ย. ขณะที่ศูนย์เกม ยิม สวนสนุกและความบันเทิงต่างๆ ก็ต้องปิดทำการ ส่วนชาวต่างชาติก็ถูกระงับเดินทางเข้าเมืองอย่างไม่มีกำหนด
อย่างไรก็ตาม รายงานนี้มีขึ้นในขณะที่อัตราการว่างงานของฮ่องกงสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี ในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากมาตรการรับมือไวรัสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ถดถอยอยู่แล้ว ข้อมูลรัฐบาลฮ่องกงชี้ว่าอัตราการว่างงานของฮ่องกงช่วงเดือน ม.ค.- มี.ค. เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.2 จากร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนอัตราการทำงานต่ำระดับหรือการว่างงานแฝง สูงสุดในรอบเกือบทศวรรษโดยอยู่ที่ร้อยละ 2.1 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในช่วงสามเดือนก่อนหน้านี้ ส่วนการจ้างงานรวมลดลงประมาณ 48,800 อัตรา ลงมาอยู่ที่ 3.72 ล้านอัตรา
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า การลดลงของการจ้างงานและแรงงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.6 และร้อยละ 2.2 ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นสถิติที่มากที่สุดทั้งคู่ อัตราการว่างงานในภาคที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและท่องเที่ยวรวมกันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.8 สูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกเมื่อ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและกฎหมายสวัสดิการระบุในแถลงการณ์ว่า ในช่วงเวลาอันใกล้นี้ตลาดแรงงานจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันที่มีนัยสำคัญจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่วนสมาคมการจัดการค้าปลีกของฮ่องกงคาดว่ามีลูกจ้างภาคค้าปลีกประมาณ 14,000 อัตรา ที่ตกงานในช่วงเดือนก.พ. - พ.ค. คิดเป็นร้อยละ 4 ของแรงงาน 260,000 อัตราในภาคค้าปลีก
ทั้งนี้ เศรษฐกิจฮ่องกงหดตัวครั้งแรกในรอบทศวรรษเมื่อปี 2562 จากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มักเกิดเหตุรุนแรง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
อ้างอิง CNA/The Star Online