จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุผ่านรายการ PEACETALK โดยกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองก่อนจะถึงวันนัดชุมนุมใหญ่ของสองฝ่ายวันที่ 16 ส.ค.นี้ ว่า แต่ละฝ่ายมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ แล้วจะจบลงท้ายเช่นใด พร้อมระบุว่า สถานการณ์การเมืองของไทยในอีก 2 วันข้างหน้าไม่มีใครรู้ปลายทางสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น
เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นหลายกรณี เช่น อาการแปลกจากผู้ปราศรัยคนสำคัญของขบวนการกลุ่มเยาวชนปลดแอก เขียนจดหมายเฟซบุ๊กส่งความคิดถึงนอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกทีวีพูลถึงการลดความเกลียดชัง สร้างความสามัคคีของคนในชาติ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
ส่วนในสภาผู้แทนราษฎร มีการอภิปรายรายงานการปรองดองสมานฉันท์ต่อสภาฯ ซึ่งซีกรัฐบาลแสดงความเห็นกลับไปมา ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ท้ายสุดไฟดับที่สภาฯ จึงเลื่อนไปโหวตลงมติในพุธหน้าว่า สภาฯ จะรับผลการศึกษาเพื่อส่งถึงรัฐบาลหรือไม่ จึงเป็นการวัดใจกัน
"ผมอยากให้เสียงนี้เพื่อรักษาบรรยากาศ ว่าการรายงานแต่ละฉบับไม่จำเป็นต้องเห็นชอบกันหมด แต่สาระหลักเมื่อหัวหน้ารัฐบาลแสดงเจตนา (ปรองดองสร้างสามัคคี) แล้ว รวมทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ก่อนไฟดับบอกจะให้ความเห็นชอบ แต่วันพุธหน้าถ้ามีประชุมสภาฯ อยู่แล้ว จะได้ตัดสินใจกันอย่างไร"
จตุพร กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ดูเหมือนบรรยากาศไม่มีอะไร หากย้อนไปพิจารณาเหตุการณ์เมื่อ ก.ย. 2549 มีการประกาศที่ลานพระบรมรูปทรงม้า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จึงยึดอำนาจ และในปี 2557 นปช.ไปชุมนุมที่พุทธมณฑล แม้มีการเจรจากัน แต่สุดท้ายก็ยึดอำนาจ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ขณะนี้จึงแปลกๆ เช่นกัน
"ผมย้ำถึงความปรารถนาดี และห่วงใยของการชุมนุมของคนหนุ่มสาว และสิ่งสำคัญภูมิต้านทางการต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด ถ้ายืนหยัด 3 ข้อ จะทรงพลังที่สุด แต่เมื่อทะลุเพดานไปเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้เกิดรัฐประหารขึ้น อีกทั้งภาพการชุมนุมสองฝ่ายที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กับ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันเดียวกันแล้ว หากใครมองไม่มีความแตกต่างจากการชุมนุมเมื่อปี 2519 แล้ว และถ้ามองปรากฎการณ์ในวันอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรแปลกแล้ว เท่ากับคนนั้นไม่ได้อยู่ในสมรภูมินี้"
จตุพร ย้ำว่า ยังหวังว่าคนหนุ่มสาวจะเรียกร้องยึด 3 ข้อเป็นหลัก เพราะความเปราะบางวันที่ 16 ส.ค. นี้ และหลังจากนั้นย่อมมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมทั้งตนต้องการบรรทัดฐานเช่นกันว่า เมื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ต้องเป็นนักประชาธิปไตยด้วย เมื่อประชาธิปไตยเป็นความแตกต่างทางความเห็น คนหนุ่มสาวต้องยอมรับความแตกต่างได้ด้วย
ประธาน นปช.ระบุ รัฐบาลในสถานการณ์นี้ ไม่ว่าม็อบที่อนุสารีย์ชัยสมรภูมิ และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็คือคนไทยเหมือนเราทุกคน การปฏิบัติต้องใช้หลักความเป็นคนไทยแก้ไขปัญหา ระมัดระวังไม่ให้เกิดน้ำผึ้งหยดเดียว อีกทั้งมาตรการต่างๆของรัฐบาลต้องใช้หลักรัฐศาสตร์นำหลักนิติศาสตร์ ต้องเจรจา พูดคุย ร่วมหาทางออก เพราะเหตุการณ์นำไปสู่ได้หลายสถานการณ์มาก
โดยย้ำอีกครั้งว่า ยังมีความปรารถนาดี และวันที่ 15-16 ส.ค.นี้ ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดที่สุด ขอให้แต่ละฝ่ายได้ตั้งสติกัน เมื่อต้องการให้บ้านเมืองแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง ตนเชื่อว่าถ้าดำรงความมุ่งหมาย 3 ข้อเรียกร้องอย่างแข็งแรงแล้ว ขบวนการคนหนุ่มสาวจะได้ชัยชนะ และเป็นชัยชนะของประเทศไทย แต่ถ้าเลยไปจากนั้น ผมไม่เชื่อว่าผลลัพธ์จะเหมือน 3 ข้อ และผมหวังว่า สิ่งห่วงใยที่มีต่อกันนั้น แต่ละฝ่ายจะได้ทบทวนกัน