ไม่พบผลการค้นหา
ตำรวจเมียนมายอมรับว่าจัดฉาก เพื่อเอาผิดนักข่าวรอยเตอร์ส 2 คนที่ไปทำข่าวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ โดยล่าสุด ครอบครัวนายตำรวจคนดังกล่าวถูกไล่ออกจากบ้านพักตำรวจแล้ว

ร้อยตำรวจเอกโม ยาน นายน์ จากกองพันตำรวจชายแดนที่ 8 ขึ้นให้การในศาลของเมียนมาเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า พลตำรวจจัตวาติน โค โค ซึ่งเป็นหัวหน้าการสืบสวนสอบสวนได้สั่งให้ 'จัดฉาก' เพื่อเอาผิดนายวา โลนและนายจอ โซ อู ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ส ซึ่งอาจทำให้พวกเขาถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 14 ปี

คำให้การระบุว่าพลตำรวจจัตวาติน โค โคสั่งให้สิบตำรวจตรีนายน์ ลิน นัดพบกับนายวาโลนในคืนวันที่ 12 ธ.ค. ปี 2017 เพื่อนำเอกสารลับจากกองพันตำรวจชายแดนที่ 8 ไปให้นายวาโลน หลังจากนั้น ก็มีคำสั่งให้เข้าจับกุมผู้สื่อข่าวทั้งสองคนระหว่างเดินออกจากร้านอาหารที่เป็นสถานที่นัดพบ ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกตั้งข้อหาครอบครองเอกสารลับของรัฐบาลอย่างผิดกฎหมาย

ในช่วงที่ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สถูกจับกุม พวกเขากำลังทำข่าวสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการสังหารชาวโรฮิงญา 10 รายในหมู่บ้านทางตะวันตกของรัฐยะไข่ ระหว่างที่กองทัพเมียนมาปฏิบัติการปราบปรามชาวโรฮิงญา ซึ่งนายอันตอนิอู กูแตร์รีช เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่าเป็นการลบล้างเผ่าพันธุ์

ร้อยตำรวจเอกโม ยาน นายน์ยังเล่าว่าพลตำรวจจัตวาติน โค โค ได้ข่มขู่ว่า หากไม่สามารถจับกุมนายวาโลนได้ พวกเขาต้องเข้าคุกแทน ซึ่งเขามองว่าผู้บังคับบัญชาของเขาได้ละเมิดจรรยาบรรณตำรวจ ทำลายชื่อเสียงของรัฐบาล และทำให้นานาชาติเข้าใจรัฐบาลผิด

นอกจากนี้ ตัวเขาเองก็ถูกควบคุมตัวตั้งแต่คืนวันที่ 12 ธ.ค. และได้รับคำสั่งให้มาขึ้นศาลในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ สำนักข่าวอิรวดีรายงานว่า เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากที่ร้อยตำรวจเอกโม ยาน นายน์ให้การในศาล ครอบครัวของเขาก็ถูกไล่ออกจากบ้านพักตำรวจในกรุงเนปิดอว์ ไปอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ของพี่ชายของร้อยตำรวจเอกโม ยาน นายน์แทน และครอบครัวก็ไม่สามารถติดต่อกับเขาได้เลยนับตั้งแต่เขาถูกจับ

โดยขณะนี้ ครอบครัวกำลังยื่นฎีกาให้นายวิน มยินท์ ประธานาธิบดีเมียนมาคนใหม่ช่วยเหลือ ด้านคณะกรรมการปกป้องผู้สื่อข่าวเมียนมาได้ระดมทุนช่วยเหลือครอบครัวร้อยตำรวจเอกโม ยาน นายน์ได้จำนวน 1,500,000 จ๊าตหรือประมาณ 35,000 บาท ส่วนผู้สื่อข่าวในกรุงเนปิดอว์ก็รวบรวมเงินช่วยเหลืออีกประมาณ 20,000 บาท แต่ครอบครัวนายตำรวจปฏิเสธเงินช่วยเหลือ เพราะต้องการ "ปกป้องศักดิ์ศรี" ของร้อยตำรวจเอกโม ยาน นายน์​

ที่มา: Asian Correspondent

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: