วันที่ 20 ก.ค. ที่อาคารรัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวหลังจากรัฐสภามีมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นแคนดิเดต ถือเป็นญัตติและไม่สามารถเสนอซ้ำได้อีกในสมัยประชุมนี้ โดยระบุว่า แนวทางต่อไปของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องรอพรรคก้าวไกลเป็นคนเริ่มต้นพูดคุย ซึ่งเลขาธิการของเพื่อไทยและก้าวไกลได้พูดคุยกันในเบื้องต้น ต้องรอดูนัดกันอีกครั้ง
นพ.ชลน่าน อธิบายเพิ่มเติมว่า ต่อไปนี้บรรทัดฐานของการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จะมีผลผูกพันกับข้อบังคับเป็นหลัก โดยเฉพาะข้องบังคับที่ 41 ซึ่งระบุวรรคท้ายว่า ยกเว้นมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
นพ.ชลน่าน กล่าวถึงความเห็นของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2558 ที่ไม่เห็นด้วยกับกับการวินิจฉัยข้อบังคับ จึงเสนอให้บุคคลที่เห็นว่าถูกละเมิดสิทธิ จากการวินิจฉัยดังกล่าว ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ ตามมาตรา 213 แห่งรัฐธรรมสูญ โดยใช้สิทธิในฐานะบุคคล ไม่ใช่สิทธิ ส.ส.
สำหรับการนัดหมายประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งต่อไปวันที่ 27 ก.ค. นี้ นพ.ชลน่าน ระบุว่า ยังต้องรอการพูดคุยกับพรรคก้าวไกล พร้อมยืนยัน เพื่อไทยยังไม่ปล่อยมือจากพรรคก้าวไกลในตอนนี้ และยังฟันธงไม่ได้ว่าครั้งต่อไปจะเสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเลยหรือไม่
ขณะที่ความไม่พอใจของหลายฝ่ายในการทำงานของประธานรัฐสภาเมื่อวาน นพ.ชลน่าน ยอมรับว่า ไม่มีใครพอใจหรอก ตนก็ไม่พอใจ เพราะได้พยายามหาช่องทางให้ประธานใช้ดุลยพินิจ แต่ในเมื่อเสียงข้างมากออกมาแบบนี้ ในระบอบรัฐสภาต้องยึดถือ แต่ก็ทำให้เกิดความคลางแคลง หรือไม่พอใจคือเสียงข้างมากไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม
นพ.ชลน่าน ยังชี้ว่า วันที่ 11 พ.ค. ที่จะถึงนี้ ส.ว.ชุดปัจจุบันกำลังจะหมดวาระ สมาชิกก็สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับในเรื่องการเสนอชื่อโหวตนายกฯ ได้
“ถ้าวินิจฉัยข้อบังคับแบบนี้ น่าเป็นห่วง พรรคเพื่อไทยเราได้ภาระที่ลำบาก หากเราได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล…เราต้องคิดก่อนว่ากำลังเรามี 100 ถ้าจะเอาชนะ ต้องทำให้เต็ม 100 หรืออย่างน้อย 80-90 ถามีแค่นี้ไปรบเขาก็แพ้ เราต้องคิดหนัก ต้องสร้างความมั่นใจว่าไปสู้แล้วจะชนะ”
เมื่อถามว่าหลักที่จะชนะยังมีพรคก้าวไกลอยู่ด้วยใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน ระบุว่า ยังไม่ได้กำหนดว่าต้องมีหรือไม่มี แต่ในขณะนี้ยังอยู่ใน 8 พรรคร่วมฯ
สำหรับเงื่อนไขให้ก้าวไกลยอมถอยเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 นพ.ชลน่าน ระบุว่า สงสารพรรคก้าวไกลที่โดนประเด็นนี้ มองว่าไม่ใช่แค่เรื่อง 112 แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอไม่ก้าวล่วงการตัดสินใจของพรรคก้าวไกล
เมื่อถามถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ไม่ได้ลงคะแนนเมื่อวานนี้ เพราะท่านออกจากที่ประชุมไปก่อน จึงตั้งสมมติฐานว่าไม่ได้ลงมติ
นพ.ชลน่าน ยังบอกว่า เมื่อวานจากที่ฟังการอภิปรายในห้องประชุมเหมือนเป็นการสอนเรื่องของประชาธิปไตย พร้อมกับบอกว่า ตนรู้สึกภูมิใจที่มีผู้ใหญ่ในพรรค อย่าง จาตุรนต์ ฉายแสง นพดล ปัทมะ ชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ลุกขึ้นอภิปรายในมุมอย่างมีหลักการ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงมีพึงได้ในสังคมแล้วขณะนี้
ส่วนที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แสดงความเห็นว่า ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลไปเลย และให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านนั้น นพ.ชลน่านกล่าวว่า ก็เป็นความเห็นของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะอาจจะมองว่า มีความเป็นไปไม่ได้เลยในการจัดตั้งรัฐบาล จึงแสดงความเห็นถึงช่องทางในการที่จะเป็นไปได้มากกว่า ส่วนตัวคิดว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ คงคิดแบบนั้น