ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ เป็นประธาน ลงนามสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ย้ำเป็นโครงการสำคัญผลักดัน EEC ให้บรรลุเป้าหมายพื้นที่เศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาค ย้ำพัฒนาอุตสาหกรรมดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน ควบคู่สิ่งแวดล้อม ขอทุกคนร่วมมือ สู่การเปลี่ยนแปลงโลกยุคใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ในพิธีลงนามสัญญาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและบริษัทอู่ตะเภา อินเเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลตั้งขึ้นเฉพาะกิจโดยกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ผู้ชนะการประมูล เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล 

นายกฯ แสดงความยินดีกับโครงการนี้ และทราบกันดีว่าเป็นการลงนามระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมย้ำว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วที่ได้เริ่มต้นในระยะแรกไว้ และสานต่อมายังรัฐบาลนี้

อย่างไรก็ตามขอบคุณทุกภาคส่วนที่ผลักดันโครงการนี้มาตั้งแต่แรก เพราะกว่าจะคืบหน้าจนถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ทั้งอดีตปัจจุบัน และต่อจากนี้ ได้ร่วมขับเคลื่อนสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักของ EEC ที่จะสามารถช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ สังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน เพราะมีการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมไปยัง 3 สนามบิน และการพัฒนาสนามบินมีส่วนขับเคลื่อนโครงการนี้ และยังต้องเร่งขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ และนี้คือโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลง แม้จะไม่มีโควิด เข้ามา ทุกอย่างต้องปรับตามสถานการณ์โลก เช่นเดียวกับรัฐบาลต้องปรับเปลี่ยน ไม่ปรับก็อยู่ไม่ได้ แม้ใครจะเข้ามา บริหารราชการแผ่นดินต่อไป หากไม่ปรับก็อยู่ไม่ได้ 

นายกฯ ยังกล่าวว่า การพัฒนาจะต้องควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่การดูแลประชาชนให้ EEC เป็นพื้นที่เศรษฐกิชั้นนำของภูมิภาค ซึ่งตรงกับตนเองที่ย้ามาตลอดว่าจะต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้นการลงนามในวันนี้เป็นการแสดงเจตจำนง ระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่ถือเป็นแนวทางความร่วมมือในโครงการอื่นๆต่อไป เป็นก้าวสำคัญ เป็นมิติใหม่ หน้าใหม่เพื่อยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์การบินในภูมิภาค สร้างการลงทุนในทุกมิติทั้งการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ เกิดกิจกรรมและอุตสาหกรรมใหม่ ตอบสนองเป้าหมายของการพัฒนา EEC ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงแนวทาง ชีวิตปกติใหม่ หรือ New Normal ว่าต้องมีสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของทุกคน เพราะไม่มีใครทำได้เพียงอย่างเดียว และต้องเดินหน้าในแนวทางนี้ต่อไป การเปลี่ยนแปลงประเทศจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ และบูรณาการในสิ่งใหม่ๆ และย้ำว่าปัญหาอุปสรรคต้องเร่งแก้ไข หวังว่าสิ่งที่ทำในวันนี้จะสร้างประโยชน์ให้กับลูกหลานไทยในอนาคต เพราะมีอายุสัมปทานถึง 50 ปี จะเป็นการสอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :