นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ยืนยันถึงแนวทางการใช้กัญชาในประเทศไทยว่า มีการปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 แก้ไขโดยพิธีสาร ค.ศ.1972 และอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ.1971 ซึ่งยินยอมให้ใช้กัญชาทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของรัฐบาลที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพและการป้องกันการรั่วไหลไปยังตลาดมืด เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดกัญชาของรัฐนั้นๆ จะไม่เกินความต้องการใช้ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ โดยประเทศภาคีสมาชิกจะต้องรายงานให้ทราบเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ผิดกฎหมาย
นายสมศักดิ์ ยังให้ข้อมูลถึงการขออนุญาตปลูกกัญชาว่าจะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัยจัดการเรียนการสอนหรือให้บริการทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์หรือเกษตรศาสตร์ รวมทั้งหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดหรือสภากาชาดไทย ตลอดจนสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มีการเรียนการสอนและวิจัยทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ และเกษตรกรที่รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือสหกรณ์การเกษตร
จากนั้นจะต้องยื่นขออนุญาตที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือสาธารณสุขจังหวัด เมื่อได้รับอนุญาตต้องจัดทำโครงการระบุสถานที่เพาะปลูก ปริมาณการปลูกที่สอดคล้องกับแผนการผลิต แผนการจำหน่ายและแผนการใช้ประโยชน์ รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการรั่วไหลของกัญชา
ส่วนผู้ป่วยที่มีความประสงค์ใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ขณะนี้มีสถานพยาบาลทั่วประเทศที่มียากัญชาที่มีคุณภาพมาตรฐานและปลอดภัยใช้ในทางการแพทย์อย่างเพียงพอ มีการกระจายยาทั่วถึงและเป็นระบบเพื่อให้การรักษาที่มีสิทธิภาพสูงสุด