ไม่พบผลการค้นหา
'ลาซโล บ๊อก' อดีตรองประธานอาวุโสของกูเกิล เตือนผู้หางานให้ระมัดระวังข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในการเขียนประวัติส่วนตัว เพราะภาพลักษณ์ที่ปรากฏผ่าน 'เรซูเม' อาจส่งผลให้ 'พลาดงาน' แทนที่จะได้รับการจ้างงาน

เว็บไซต์ Inc. เผยแพร่คำแนะนำการเขียนประวัติส่วนตัว หรือ 'เรซูเม' สำหรับสมัครงาน โดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ 'ลาซโล บ๊อก' อดีตรองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการบุคคลของกูเกิล ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอินเทอร์เน็ต ระบุว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดในการเขียนเรซูเม มีอยู่ 5 ประเด็น และผู้สมัครจะต้องใส่ใจ 5 ประเด็นนี้อย่างเข้มงวด ไม่ให้มีข้อผิดพลาด โดยให้เหตุผลว่า ถ้าทำพลาดในเรื่องเหล่านี้ จะส่งผลให้พลาดงานมากกว่าจะได้งาน พร้อมระบุว่า นี่คือประสบการณ์ส่วนตัวที่เขาได้จากการพิจารณาเรซูเมมาแล้วกว่า 20,000 ฉบับ


ประเด็นแรก "ข้อมูลที่จำเป็นต้องครบถ้วน" 

คนจำนวนมากมักจะใส่รายละเอียดส่วนตัว เช่น ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่สำหรับติดต่อ ในเอกสารหน้าแรกเท่านั้น แต่การพิจารณาประวัติส่วนบุคคลหลายครั้งอาจแยกเอกสารไปตรวจสอบข้อมูล บ๊อกจึงแนะนำว่า ผู้สมัครงานจะต้องเขียนรายละเอียดที่สำคัญเอาไว้ทุกหน้าของเอกสาร และในกรณีที่ส่งเรซูเมผ่านทางอีเมล ควรเซฟเอกสารในสกุล pdf เพราะช่วยให้แน่ใจได้ว่าสภาพเอกสารจะไม่เปลี่ยนแปลง และสิ่งจำเป็นอีกอย่างนอกจากนี้ คือ เรซูเมจะต้องจัดวางรูปแบบให้อ่านง่าย สะอาดสะอ้าน สบายตา 


ประเด็นที่สอง "อย่าเปิดเผยข้อมูลอ่อนไหวของผู้อื่นมากเกินไป" 

กรณีนี้บ๊อกพูดถึงผู้สมัครงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความลับหรือการเก็บข้อมูลของลูกค้า เช่น ตำแหน่งที่ปรึกษา แต่ถ้าผู้สมัครงานในตำแหน่งนี้เปิดเผยข้อมูลหรือบ่งบอกเป็นนัยถึงบริษัทหรือลูกค้าที่เคยทำงานด้วย จะดูเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไม่มีความเป็นมืออาชีพ

เขายกตัวอย่างผู้สมัครงานบางรายที่บอกว่าเคยทำงานกับลูกค้าจาก "บริษัทด้านซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่เมืองเรดมอนด์ รัฐวอชิงตัน" ซึ่งทำให้คาดเดาได้ชัดเจนว่าบริษัทดังกล่าวคือ 'ไมโครซอฟท์' แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อโดยตรงก็ตาม แต่การทำเช่นนี้มีเปอร์เซ็นต์ที่จะทำให้ 'พลาดงาน' มากกว่า

rawpixel-267082-unsplash.jpg

ประเด็นที่สาม "พิสูจน์อักษรคือเรื่องสำคัญ" 

การพิมพ์ข้อมูลผิด หรือตกหล่นในเรซูเม อาจจะทำให้ผู้พิจารณาใบสมัครงานเกิดความรู้สึกว่าบุคคลนี้ 'ไม่ใส่ใจ' หรือไม่รอบคอบเพียงพอ และทัศนคติที่เกิดขึ้นเป็นเชิงลบย่อมส่งผลให้เรซูเมดังกล่าวไม่น่าสนใจ หรือลดทอนความน่าสนใจของประวัติการทำงานที่ปรากฏอยู่ในเอกสารไปได้มากกว่าครึ่ง ก่อนจะส่งเรซูเมจึงควรอ่านซ้ำ หรือให้เพื่อนๆ ช่วยอ่านทวนด้วย เพื่อตรวจสอบคำผิด ไวยากรณ์ หรือแม้แต่การเว้นวรรคหรือตัดบรรทัด เรซูเมจะได้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสะท้อนความละเอียดถี่ถ้วนของเจ้าของเรซูเมออกมาได้


ประเด็นที่สี่ "อย่าให้ข้อมูลยาวเกินไปโดยไม่จำเป็น" 

บ๊อกระบุว่า กฎเหล็กที่ยึดถือในการพิจารณาเรซูเมของเขา คือ ประวัติการทำงาน 10 ปีจะต้องบรรยายให้หมดภายในหน้ากระดาษ A4 เพียง 1 หน้า ไม่ควรเกินกว่านั้น พร้อมระบุว่า เรซูเมเป็นใบเบิกทางหรือเครื่องมือดึงดูดความสนใจเพื่อให้บริษัทต่างๆ เรียกผู้สมัครไปสัมภาษณ์งาน การเขียนข้อมูลเท่าที่จำเป็น และเก็บรายละเอียดเรื่องประสบการณ์การทำงานไปบอกเล่าในช่วงสัมภาษณ์จะเป็นเรื่องที่ดีกว่า และเอกสารที่สั้น กระชับ จะช่วยให้อ่านง่าย ใช้เวลาน้อย


ประเด็นที่ห้า "อย่าโกหก"

จากประสบการณ์นานปีของบ๊อก เขาระบุว่า ผู้สมัครงานมักจะเขียนเรื่องโกหกมากมายลงในเรซูเม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกรดเฉลี่ยที่ได้รับ ประสบการณ์การทำงาน หรือแม้แต่วุฒิการศึกษา แต่ข้อมูลเท็จเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงตามมา เพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว คำโกหกมักจะถูกเปิดโปงเสมอ และไม่ว่าการโกหกข้อมูลจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็เป็นภาพสะท้อนว่า ผู้สมัครไม่ได้ยึดมั่นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมมากนัก และผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่ก็คงจะไม่อยากได้พนักงานที่ไม่มีคุณสมบัติทั้งสองอย่างที่ว่ามา

unsplash-เงาดำ-บัณฑิต-การศึกษา-รับปริญญา-มือถือ-โซเชียล.jpg

ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่บ๊อกเคยเตือนไว้ ก็คือเรื่องการอัปเดตข้อมูลส่วนตัวให้ทันต่อเหตุการณ์ เช่น การใช้อีเมลที่ไม่ค่อยมีผู้ใช้งานมากนักในปัจจุบันเพื่อสมัครงาน เช่น AOL หรือ hotmail อาจมีผลต่อภาพลักษณ์ของผู้สมัครว่าเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องเทคโนโลยี

ถ้าเป็นกรณีที่ผู้ว่าจ้างขอข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก บล็อก หรือเว็บไซต์เพิ่มเติมจากประวัติการศึกษาหรือประสบการณ์การทำงาน ก็ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อต่างๆ เหล่านี้มีความเหมาะสมกับคุณวุฒิหรือวัยวุฒิของผู้สมัครงาน เพราะข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์คือสิ่งหนึ่งที่จะสะท้อนทัศนคติของผู้สมัครงาน รวมถึงสะท้อนวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว

ทั้งนี้ 'ลาซโล บ๊อก' ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการบุคคลของกูเกิลช่วงปี 2006-2016 โดยได้รับรางวัลผู้บริหารฝ่ายบุคคลดีเด่นในปี 2010 และได้รับการยกย่องจากนิตยสารด้านบริหารบุคลากรว่าเป็นผู้รับมือกับสถานการณ์ว่าจ้างงานในกูเกิลที่ดึงดูดคนจำนวนมากให้มาสมัครงานได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ลาออกจากกูเกิล เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Humu และยังคงได้รับคำชมว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ด้านบริหารทรัพยากรบุคคล

ที่มา: Inc./ Globe News Wire/ SCMP

Photo by Unsplash

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: