ต่างประเทศ
การแข่งขันฟุตบอลแชมป์เปียนลีกในมิลาน อาจเป็นต้นตอของการระบาดทั่วอิตาลี
เจียจิโอ โกรี นายกเทศมนตรีเมืองเบอร์กาโม ทางตอนเหนือของอิตาลีกล่าวว่า การแข่งขันฟุตบอลเเชมป์เปี้ยนลีกระว่างทีม แอตแลนตากับวาเลนเซียของสเปน เมื่อวันที่19 ก.พ. ที่สนามมิลานซานซิโรนั้น อาจเป็นสาเหตุหลักของการแรพ่ระบาดของโควิด-19 โดยการแข่งขันนัดดังกล่าวมีแฟนบอลเข้าชมประมาณ 40,000 คน
'เป็นเพราะฝูงชนในสนามดังกล่าว และหลังจากการแข่งขันก็พากันไปที่บาร์ ซึ่งเหตุการณ์คืนนั้นสามารถทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อระหว่างกันและกันได้เป็นอย่างดี' นายกเทศมนตรีกล่าว
แถลงการณ์ของทีมวาเลเซียระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เล่นกว่าสองในสามของทีมและโค้ชประจำทีมต่างได้รับการตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้การแข่งขันฟุตบอลนัดดังกล่าวมีขึ้นในช่วงสองวันก่อนที่พบการระบาดในเมืองโคดอกโน่ เมืองในแคว้นโลดี
เกมนัดดังกล่าวยังมีแฟนบอลของทีมวาเลเซียกว่า 2,500 คนได้เดินทางไปมิลานเพื่อรับชมการแข่งขันนัดดังกล่าว ซึ่งต่อมาพบว่ามีแฟนบอลของทีมวาเลเซียติดเชื้อไวรัสรวมไปถึงนักข่าวจากสเปน
ทั้งนี้นายกเทศมนตรีเมืองเบอร์กาโนยังตั้งข้อสังเกตว่า การแข่งขันฟุตบอลในวันนั้นอาจะเป็นปัจจัยหนึ่งแต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดมาจากการแพร่ระบาดจากโรงพยาบาล เนื่อวงด้วยในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นโรคโควิด-19 ยังไม่เป็นที่รับรู้ของหมอและพยาบาล หลังจากที่มีผู้ป่วยปอดอักเสบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจึงทำให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้ป่วยคนอื่นๆ รวมถึงหมอและพยาบาลด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันอิตาลีมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วกว่า 69,000 ราย ซึ่งในวันนี้ (25 มี.ค.) ทางการอิตาลีรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่มี 3,612 ราย ซึ่งลดลงจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาที่มี 3,780 ราย และอัตราส่วนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งน้อยที่สุดนับตั้งแต่มีการพบผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 ก.พ.
แองเจลโล บอร์เรียลลี ผู้อำนวยการหน่วยป้องกันพลเรือนกล่าวว่า มาตรการปิดเมืองที่อิตาลีเริ่มทำเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเริ่มเห็นผลที่ชัดเจน แต่ต้องอาศัยข้อมูลในอีก2-3 วันข้างหน้า เพื่อแสดงผลให้เห็นถึงกราฟของการระบาดที่ค่อยๆลดลง
ทางด้านนักวิทยาศาสตร์ในอิตาลีเชื่อว่า ประเทศอื่นๆ ในยุโรปอย่างสเปน หรือ ฝรั่งเศสกำลังจะเดินตามรอยอิตาลี รวมไปถึงสหรัฐฯด้วยเช่นกัน ซึ่งจำนวนตัวเลขของการระบาดในสหรัฐฯนั้นมีความเหมือนกับตัวเลขของอิตาลีเมื่อ 20 วันที่ผ่านมา
ที่มา The guardian / CNA
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
