เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยผ่านเพจเดอะรูม 44 กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา นายกฯ ตอบรับเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เชื่อว่า จะมีนักการเมือง และผู้ที่สนใจร่วมทำงานเพื่อประเทศชาติล้านเมืองไหลมาร่วมกับพรรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งมั่นใจว่า จะไม่เป็นปัญหาในการจัดสรรหน้าที่ความรับผิดชอบ เพราะโดยปกติความกังวลของพรรคที่ตั้งใหม่ คือ จะไม่มีคนมาร่วมงานมากกว่า ดังนั้น ยิ่งมากันเยอะก็ไม่เป็นไร มีวิธีบริหารจัดการให้ทุกคนมีบทบาทได้อย่างแน่นอน
“มากันมากแค่ไหน ก็รับได้แน่นอน และที่ผ่านมา มีการพูดคุยกับ ส.ส.บิ๊กเนม แต่ละพื้นที่ตอบรับกันจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจน ก็จะมีคนไหลเข้ามาอีก ซึ่งเรามีวิธีบริหารจัดการอยู่แล้ว” เอกนัฏ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า จะมี ส.ส.ปัจจุบันเข้ามาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ประมาณ 40 คนนั้น เอกนัฏ กล่าวว่า คิดว่าไม่ได้คลาดเคลื่อนจากความจริงเท่าไร แต่อาจจะมากขึ้นก็ได้ อีกทั้งยังมีบิ๊กเนมที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เช่น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือนักการเมืองท้องถิ่น ที่มีแสงในตัวของจังหวัดต่างๆ ซึ่งบางพื้นที่ต้องยอมรับว่า มีโอกาสดีกว่า ส.ส.ปัจจุบันเสียอีก หากนับส่วนของคนที่มีศักยภาพก็คงมากกว่า 100 คน ทำให้มั่นใจได้ว่า เราจะมีผู้สมัครที่สู้ได้ในทุกภาค
เมื่อถามว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันได้ประเมินหรือไม่ ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ ส.ส.ประมาณเท่าไร ฃเอกนัฏ กล่าวว่า มีคนเคยถามว่าจะได้ ส.ส.เกิน 25 เสียง พอสำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯในที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่ ตนยืนยันว่า เกินแน่นอน เพราะจากผลสำรวจแค่ภาคเดียวก็เกินแล้ว อย่างไรก็ดี จำนวนที่นั่ง ส.ส.ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญกว่าการเป็นพรรคการเมือง คือ ต้องทำประโยชน์ให้ประเทศ เป็นสถาบันการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ
“ใจผมหากได้แตะ 100 ที่นั่ง ก็เป็นเรื่องดี จะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด จะได้มีกำลังผลักดันสิ่งที่เราบอกประชาชนไว้” เลขาฯ รวมไทยสร้างชาติ ระบุ
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ ว่า หลังการเลือกตั้งจะได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เอกนัฏ กล่าวว่า การจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องดูผลการเลือกตั้งก่อน แต่ถ้าวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัวชัดเจน และดูว่าที่ผู้สมัครทั่วประเทศ ถ้าทุกอย่างเป็นตามที่คาดการณ์ เราจะได้ ส.ส.ไม่น้อย มีโอกาสร่วมกับพรรคการเมืองอื่นจัดตั้งรัฐบาลได้
เมื่อถามถึงบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ ในพรรครวมไทยสร้างชาติ นอกเหนือจากในส่วนแคนดิเดตนายกฯ เอกนัฏ กล่าวว่า เราคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนก่อน คงเริ่มจากการเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นสมาชิกพรรค เพื่อให้เกิดความชัดเจน จะได้ร่วมแคมเปญหาเสียงได้อย่างเต็มตัว ไม่ใช่เป็นแค่แคนดิเดตนายกฯ ลอยๆ เพราะที่ผ่านมาได้เห็นข้อจำกัดระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคการเมืองที่สนับสนุน ครั้งนี้จึงอยากให้เกิดความชัดเจนที่สุด
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกฯได้เพียง 2 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 จะกระทบต่อการหาเสียงหรือไม่ เอกนัฏ กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหาเลย คนดี 1 ปี 2 ปี หรือ 4 ปี มีค่าเท่ากัน และถ้าดูตามหลักวิทยาศาสตร์คำนวณแล้วพล.อ.ประยุทธ์ จะเหลือเกินเวลา 2 ปีครึ่ง น่าจะเกินค่าเฉลี่ยรัฐบาลที่ผ่านๆ มาของประเทศแล้ว และหากไปถึงจุดนั้นก็ไม่ได้แปลว่า ท่านจะไม่มีส่วนขับเคลื่อนประเทศ ยังเป็นกำลังสำคัญได้อยู่ ส่วนตำแหน่งนายกฯก็มีกลไก ถึงวันนั้นค่อยไปดูว่าใครเหมาะสม
“ไม่มีปัญหา ถ้าไม่พอใจก็ปรับใหม่ หรือหมดเวลาจะยุบสภาก็ทำได้ เวลา 2 ปีกว่า จะ 3 ปี ถือว่ามากเกินพอที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะสานต่อภารกิจที่ค้างคา และต่อยอดวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต” เลขาฯ รวมไทยสร้างชาติ กล่าว
เมื่อถามอีกว่า ภายหลังเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติ กับ พลังประชารัฐ จะจับมือร่วมกันทำงานได้หรือไม่ เอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร เวลานี้แต่ละพรรคต้องเร่งแสดงจุดยืนของตัวเองแล้วไปแข่งขันในสนามเลือกตั้ง ได้ ส.ส.เท่าไรก็เป็นเรื่องอนาคต และก็มีขั้นตอนที่ต้องเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า จุดยืน หรือนโยบายตรงกันหรือไม่ เรื่องนี้ต้องว่าหลังเลือกตั้ง
เมื่อถามอีกว่า หากมีความจำเป็นสามารถทำงานร่วมกับฝ่ายค้านในปัจจุบันได้หรือไม่ เอกนัฏ กล่าวว่า คนอาจมองว่า เราเป็นพรรคพันธมิตรประชาชน หรือเป็นพรรค กปปส. แต่ปัจจุบันในพรรคเราก็มีคนเสื้อแดงมาร่วมงานจำนวนมาก เราไม่ยึดติดความขัดแย้งในอดีต เราคิดว่า ทุกคนที่มีแนวคิดตรงกันอยากเข้ามาทำการเมืองเพื่อส่วนรวม อยากทำการเมืองอย่างสุจริต สร้างพรรคการเมืองเป็นที่พึ่งของประชาชน ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ ถ้าคิดแบบนี้ไปกันได้ แต่ถึงเวลานั้นก็ต้องมาทบทวนอีกทีว่าพรรคไหนคิดเหมือนเราหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่า ไม่ปิดทางร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่นๆ ใช่หรือไม่ เอกนัฏ กล่าวว่า “จะไปปิดทางกันเร็วแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากพูดไป เดี๋ยวหาว่า เราปฏิเสธคนนั้นคนนี้ วนเวียนอยู่กับความขัดแย้งอีก วันนี้เราต้องเดินไปข้างหน้า”