วิกฤตโรคระบาดทำให้ผู้คนทั่วโลกเข้าใจดีขึ้นอย่างมากว่าการมีสุขภาพจิตที่ดีนั้น สำคัญไม่แพ้กับการมีสุขภาพกายที่สมบูรณ์ ผู้คนมากมายต้องเผชิญกับผลกระทบทางจิตใจเมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาด ที่ถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความเครียด อาการหวาดวิตก และการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หน่วยงานที่ดูแลเรื่องสุขภาพจิตของประชาชนจะทำงานหนักขึ้นเพื่อหาทางเยียวยาผู้คน
HRMorning ชี้ว่า ทีมหลักในบริษัทและองค์กรอย่าง 'ฝ่ายบุคคล' ก็ต้องหันกลับมามองอย่างละเอียดว่าภายในองค์กรขาดเหลืออะไร และมีวิธีการดูแลจิตใจพนักงานหรือบุคคลากรที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักได้มากขึ้นอย่างไรบ้าง ทั้งการป้องกันภาวะ 'หมดไฟ' การสร้าง 'ความยืดหยุ่น' ของสิ่งแวดล้อมในการทำงานเพื่อเลี่ยงการ 'ทิ้งคนไว้ข้างหลัง'
ขณะเดียวกัน 'เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพจิต' กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การบำบัดด้วยเสียงที่ส่งผลต่อการสร้างความผ่อนคลายให้กับสมองและเซลล์กำลังถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น แอปพลิเคชันเสริมสร้างสมาธิ และเป็นเหมือนผู้ช่วยเตือนให้ผู้คนได้หยุดพักความคิดระหว่างวันหรือช่วงเวลาหลังการทำงานและก่อนนอนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่เฉพาะแค่วัยทำงาน แต่รวมไปถึงคนวัยเรียนและผู้สูงอายุ ขณะที่นักจิตวิทยาและจิตแพทย์จะกลายมาเป็นแรงสำคัญในการเยียวยาและขับเคลื่อนสังคม
การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทันท่วงทีเพื่อหาความรู้รับมือโรคระบาดเป็นสิ่งที่ดี แต่ข้อมูลจำนวนไม่น้อยที่ถูกแชร์ในทุกๆ นาทีเป็นสิ่งที่มีความบิดเบือนและอาจสร้างผลกระทบกับสุขภาพของผู้คนเป็นวงกว้าง สื่อหลักและรัฐบาลทั่วโลกจะทำงานหนักอย่างต่อเนื่องในปี 2565 เมื่อวัคซีน ยา และการรักษาในรูปแบบต่างๆ จะยังคงมีความจำเป็นอย่างมากเพื่อรักษาอาการที่เกิดจากและเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์ของโควิด-19
TheGlobeAndMail ยกตัวอย่างทีมนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ที่รวมตัวกันภายใต้ Science Up First ที่ทำงานร่วมกันในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและมีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับเกี่ยวกับ 'วัคซีนต้านโควิด' เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มต่อต้านวัคซีน หรือ Anti-Vaccine ที่ยังคงมีจำนวนมากในประเทศฝั่งตะวันตก
ยุคการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้นโยบายเพื่อคนทำงาน สุขภาพ และความเป็นอยู่ในภาพรวมถูกตั้งคำถามมากขึ้นอย่างชัดเจน ManagedHealthcareExecutive ชี้ว่าปรากฏการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในมุมของโอกาสและความท้าทาย
รัฐบาลหรือทีมบริหารของภาคธุรกิจจะตกอยู่ในสถานะที่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับการดูแลสุขภาพของผู้คนในระดับที่สูงขึ้นหลังการเผชิญโควิด-19 มาเกือบ 2 ปีเต็ม ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย การเข้าถึง คุณภาพ การลดขั้นตอนการเข้ารับการรักษา ราคาค่าเวชภัณฑ์ สวัสดิการในการลาป่วย การเข้ารับการรักษาสุขภาพจิต และโปรแกรมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด
ความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักและความเครียดเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธ PhillyVoice ชี้ว่าผู้คนมักจะดื่มอย่างต่อเนื่องและยากที่จะหยุด เมื่อการดื่มนั้นถูกใช้เป็นวิธี 'หลีกหนีปัญหา' และการ 'เยียวยาจิตใจจากความทุกข์' นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บทสนทนาเกี่ยวกับการดื่มอย่างมีสติจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเยียวยาจิตใจ
วิธีนี้คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการรณรงค์ให้ผู้คน 'ไม่ดื่มแอลกอฮอล์' เพราะท้ายที่สุดแล้วการดื่มอย่างมีสติ รู้ขีดจำกัด เสิร์ฟแอลกอฮอล์อย่างมีความรับผิดชอบต่อลูกค้านักดื่ม จะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการห้ามโดยไม่ยืนอยู่บนหลักความเป็นจริง
ขณะเดียวกัน ผู้คนจะใส่ใจกับการเลือกอาหารที่ดีต่อสมองและภูมิคุ้มกันของร่างกายของพวกเขามากขึ้น เพื่ออายุที่ยืนยาว ห่างจากโรคทางสมอง และการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส เทรนด์ของการลดการรับประทานเนื้อและเปลี่ยนไปเป็นการบริโภคอาหารที่มาจากพืช หรือ Plant-Based จะได้รับความนิยมมากขึ้น ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชที่หลากหลายขึ้นและรสชาติดีเยี่ยม
ไอเดียของการเข้าหาธรรมชาติเพื่อร่างกายและจิตใจที่มีสุขภาพดีมีมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ตอกย้ำว่านี่คือเรื่องจริง TheGlobeAndMail เผยการวิจัยจากนักวิจัยชาวอังกฤษที่มีการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 20,000 คนในปี 2562 ที่ชี้ว่า บุคคลที่ใช้เวลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงในพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่กลางธรรมชาติจะมีสุขภาพที่ดีกว่าคนที่มีพฤติกรรมตรงกันข้าม
องค์กร PaRx ของแคนาดาคือหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจในการรักษาผู้ป่วยด้วยธรรมชาติโดยมีหลักฐานรองรับ มีการสร้างโปรแกรมการจ่ายยาด้วย 'ธรรมชาติ' เพื่อฟื้นฟูผู้ป่วย แทนที่จะเป็นการให้แพทย์สั่งยารักษาโรคให้ผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว