พลเอก เดวิด เพเทรอัส อดีตผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ในภารกิจการสู้รบในอัฟกานิสถานและอิรัก และอดีตผู้นำของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ CIA ให้ สัมภาษณ์พิเศษ กับ ปีเตอร์ เบอร์เกน ผู้สื่อข่าว CNN โดยระบุว่า กองทัพรัสเซียกำลังเผชิญกับกองทัพยูเครนที่มีความมุ่งมั่นอย่างน่าทึ่ง มีศักยภาพอย่างน่าเหลือเชื่อ และมีนวัตกรรมอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและปกป้องแผ่นดินเกิดของตนเอง
ในทางกลับกัน เพเทรอัสกล่าวว่ารัสเซียซึ่งอยู่ในฐานะผู้รุกรานได้แสดงออกถึง 'ความอ่อนแอ' ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด การคาดการณ์ของหน่วยข่าวกรองที่มองผลลัพธ์ของการรุกรานที่ตื้นเขินเกินไป ประเมินศักยภาพประชาชนและกองทัพยูเครนต่ำกว่าความเป็นจริง บกพร่องในการวางแผนเรื่องการลำเลียงขนส่งและการดูแลรักษา การใช้ยุทโธปกรณ์ที่น่าผิดหวัง และการไร้ความสามารถที่จะใช้งานสงครามไซเบอร์ที่ได้ประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม พล.อ.เพเทรอัสย้ำว่า กองทัพรัสเซียมีความสามารถอย่างเป็นที่ประจักษ์ว่าพร้อมจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ทำลายอาคารบ้านเรือนของพลเรือน และทำลายเมืองทั้งเมืองได้ทุกเมื่อ ซึ่งก็เคยทำให้โลกได้เห็นมาแล้วหลายครั้ง
อดีตผู้นำภารกิจสงครามชาวอเมริกันผู้นี้ชี้ว่า เขาชื่นชมและยกย่องการทำงานอย่างหนักของประธานาธิบดี โจ ไบเดน และผู้นำจากชาติพันธมิตรในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างมาก พร้อมระบุว่าแทนที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียจะเดินเกมให้รัสเซีย "กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ตรงกันข้าม ปูตินได้ทำให้ 'นาโต' เป็นฝ่ายที่กลับมายิ่งใหญ่เสียเอง
พล.อ.เพเทรอัสชี้ว่ากองทัพรัสเซียมีมาตรฐานที่ต่ำมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องลงมือปฏิบัติยุทธวิธีพื้นฐานทั่วไป อย่างการบรรลุเป้าหมายปฏิบัติการยุทโธปกรณ์ร่วมที่เป็นการทำงานร่วมกันของทหารราบ ทหารปืนใหญ่ ทหารติดอาวุธ วิศวกร ฯลฯ เข้าด้วยกัน ไปจนถึงการไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องการขนส่ง เติมสต็อก และดูแลรักษายานพาหนะและอาวุธ จนหลายครั้งทหารรัสเซียได้ตัดสินใจทิ้งของสำคัญเหล่านี้ไปเลย
หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญของ 'ระบบโวเวียต' ที่ตอนนี้กลายมาเป็น 'ระบบรัสเซีย' ก็คือการขาดแคลนทหารมืออาชีพที่เป็นนายทหารชั้นประทวน ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ และยุโรปมีมาโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่รัสเซียต้องทำก็คือการหันหน้าไปพึ่งทหารเกณฑ์แทน ซึ่งคาดว่าน่าจะกินสัดส่วนราว 20-25% ในกองทัพรัสเซียแต่ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีการส่งทหารเกณฑ์เข้าไปรุกรานยูเครนในสัดส่วนเท่าใด
เท่าที่ทราบทหารเกณฑ์เหล่านี้มักจะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในส่วนของการลำเลียงขนส่ง การขับรถบรรทุกขนส่ง การขับรถขนส่งน้ำมัน ไปจนถึงการทำงานในหน่วยดูแลรักษาอุปกรณ์เครื่องมือทางการทหาร ซึ่งทหารเกณฑ์เหล่านี้จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทุกๆ 1 ปี จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพวกเขาจึงแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพและการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ได้มาตรฐานขนาดนี้
"ผมไม่คิดว่ากองทัพรัสเซียจะสามารถยึดกรุงเคียฟได้จริง เพราะอย่าลืมว่ามันมีข้อจำกัดสำคัญซึ่งก็คือการที่ปูตินไม่สามารถสับเปลี่ยนกองกำลังที่กำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบตอนนี้ได้เลย ปูตินเปลี่ยนตัวกำลังพลทหารอย่างไรและตอนไหน ตรงนี้มันไม่ชัดเจนสำหรับผมจริงๆ"
ที่ผ่านมาโลกได้เห็นว่ากองทัพรัสเซียมักเผชิญปัญหาเมื่อต้อง 'ออกนอกเส้นทาง' การออกจากถนนใหญ่แล้วเปลี่ยนไปใช้เส้นทางออฟโรดแทนถือเป็นอุปสรรคอย่างมากเพราะยานพานะของกองทัพ 'ติดหล่มโคลนตม' ได้อย่างง่ายดายรวดเร็ว เพราะพื้นผิวของเส้นทางไม่แข็งพอดังเช่นที่มีการคาดหวังไว้อีกต่อไปเนื่องจากอุณหภูมิในหน้าหนาวที่เริ่มอุ่นขึ้น บวกกับการดูแลรักษายานพาหนะและอุปกรณ์ที่ไม่ได้ประสิทธิภาพทำให้จุดนี้กลายเป็นปัญหาอย่างมาก
มากไปกว่านั้น พล.อ.เพเทรอัสระบุด้วยว่า ยุทโธปกรณ์ของรัสเซียค่อนข้างไม่ได้มีความน่าประทับใจขนาดนั้น เทียบกับเม็ดเงินลงทุนที่รัสเซียใช้ไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งคาดว่าควรจะดีได้กว่านี้ และที่สำคัญ เป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพรัสเซียไม่มียุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพดังเช่นที่กองทัพสหรัฐฯ มีในครอบครอง
พล.อ.เพเทรอัสกล่าวว่าในกรณีนี้ 'ยูเครน' คือฝ่ายได้เปรียบกว่า เพราะในการสู้รบกันในเมืองใหญ่หมายความว่ารัฐบาลของประเทศนั้นๆ ต้องเคลียร์ประชาชนออกให้หมดจากทุกตึกทุกอาคาร เหลือไว้เพียงทหารและผู้ที่พร้อมจะสู้รบ โดยที่พวกเขาจะถูกทิ้งไว้ในตึกเหล่านี้เพื่อเตรียมรับมือกับศัตรูที่มารุกราน เพราะเมื่อใดที่อาคารในเมืองถูกทิ้งร้าง ศัตรูอาจพร้อมเข้ายึดเพื่อใช้เป็นฐานโจมตีทันที ซึ่งในกรณีนี้กองทัพรัสเซียไม่สามารถเพิ่มกำลังพลให้เหนือกว่ายูเครนได้ ทำไม่ได้ทั้งในกรุงเคียฟหรือเมืองใหญ่อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ากองทัพรัสเซียยังคงมีศักยภาพมากพอที่จะยึดหลายเมืองในยูเครนได้ตามที่ต้องการ แต่ในการสู้รบอย่างดุเดือดที่เมืองมารีอูปอล เมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศยูเครนนั้น โลกกำลังจับตาว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ระหว่าง 'ความอดอยากหิวโหย' ของชาวยูเครนที่ยังเลือกที่จะอยู่ต่อในพื้นที่พร้อมกับกองทัพยูเครนที่กำลังสู้อย่างกล้าหาญ หรือ 'ความเต็มใจที่จะฆ่าพลเรือนผู้บริสุทธิ์' ของทหารรัสเซีย ในพื้นที่ที่แสดงการต่อต้านอย่างกล้าหายแม้จะถูกล้อมไว้หมดแล้ว