นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีตามหมายเรียกวานนี้ (4 เม.ย.) ว่า วันที่ 6 เม.ย. จะเดินทางไป สน. ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อแสดงความจริงใจ โดยจะไม่หนีไปไหน ส่วนรายละเอียดของคดีทราบว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2558 จากเหตุการณ์ที่มีกลุ่มนักศึกษาออกมารณรงค์ในวันครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558
หลังจากนั้นโดนคดีความทำให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปให้กำลังใจที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งตนเองเดินทางไปให้กำลังใจด้วย และในช่วงดึกเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับการปล่อยตัว ขณะที่ตนเองจะเดินทางกลับบ้าน ได้พบกับนายรังสิมันต์ โรม หนึ่งในกลุ่มนักศึกษา อาสาพาไปส่งแค่นั้น ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเรื่องอะไรต้องปกปิด โดยพร้อมชี้แจงทุกประเด็น และยืนยันว่าไม่ได้พาหลบหนีตามมาตรา 189 แน่นอน
เมื่อถามว่า มองอย่างไรในการถูกตั้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 นายธนาธร ระบุว่า นี่เป็นการพยายามทำลายความน่าเชื่อถือพรรคอนาคตใหม่ เป็นความพยายามทำลายพรรคที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับการสืบทอดอำนาจเผด็จการ อยากให้สังคมช่วยพิจารณา ส่วนตัวไม่กังวลอะไร พร้อมทุกสถานการณ์ จะเกิดอะไรพร้อมทั้งหมด
เมื่อถามว่า มองอย่างไร ในเวลานี้ที่มีการฟ้องคดีใกล้เคียงกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค นายธนาธร ระบุว่า มีความเป็นไปได้ 2 ประเด็น คือ มีความต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมออกจากเรื่องความผิดปกติของการเลือกตั้ง ออกจากความกดดันที่มีกับ กกต. และความพยายามที่ต้องการทำลายพรรคอนาคตใหม่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากความกลัวจากการเติบโตขึ้นของคนที่ต้องการต่อต้านการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ
นายธนาธร ระบุว่า ไม่กังวลเรื่องความเชื่อมั่นของพรรคจะหายไป เพราะเชื่อในความยุติธรรม หากมีความยุติธรรม และโปร่งใสในคดีที่เกิดขึ้นกับตัวเอง รวมถึงนายปิยะบุตร และพรรค เชื่อว่าไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายเพียงพอที่จะลงโทษเรา โดยขณะนี้เลขาธิการพรรคกำลังใจยังเข้มแข็งแม้จะโดนโจมตีในประเด็นมาตรา 112 ยืนยันว่าเลขาธิการพรรคเป็นเสาต้นที่สำคัญของพรรคเมื่อวานนี้ วันนี้ และจะเป็นเสาต้นสำคัญต่อๆ ไป
ทั้งนี้ยังได้ฝากว่า การใช้เรื่องสถาบัน และทักษิณ ชิณวัตร มาโจมศัตรูทางการเมือง เป็นเรื่องที่เก่าแล้ว คำถามก็คือจะอยู่กับอดีตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือว่าจะเดินหน้าไปสู่อนาคต เพราะยังมีความท้าทายในสังคมอีกมากที่รอการแก้ไข ทั้งปัญหาขยะ การจราจร ฝุ่น รวมถึงปัญหาความไม่เท่าเทียม และประชาธิปไตยในสังคม ซึ่งกลุ่มคนที่ใช้การเมืองเก่ามาเล่นงานคู่ต่อสู่ทางการเมือง คือ กลุ่มคนที่พยายามดึงประเทศไว้อยู่ในอดีต ดังนั้นขออย่าใช้ข้อกล่าวหานี้มาทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองอีกเลย เพราะใช้ไม่ได้ผลแล้ว
ส่วนกรณีที่มีการล่ารายชื่อถอดถอนนายปิยบุตร ออกจาก ส.ส.ของพรรค นายธนาธร ระบุว่า มีคนลงชื่อหมื่นกว่าคน แต่ในทางกลับกันยังน้อยกว่าลงชื่อถอดถอน กกต. และ ผบ.ทบ. เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าสังคมส่งเสียงอยู่คือเสียงอะไร คือ เสียงเรียกร้องให้ไทยกลับสู่ประชาธิปไตยและนิติรัฐ
ส่วนในเรื่องสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ยังไม่ได้ข้อยุติจาก กกต. ถ้ายึดเอาความเป็นธรรม ตีความได้สูตรเดียวอยู่แล้ว เพราะว่าเอาผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมดหารด้วยจำนวน ส.ส. ออกมาก็จะอยู่ที่ 71,000 เศษๆ ถ้ายึดตามสูตรนี้คำนวณง่ายว่าใครควรจะได้ ส.ส.เท่าไหร่ ไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากที่ กกต.ยังไม่รู้วิธีคำนวณที่ถูกต้อง ซึ่งประชาชนกำลังรอคำตอบจาก กกต.อยู่ เพราะยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีประเทศมากเท่านั้น