วันนี้ (26 ก.ค. 2561) ศาลจังหวัดเชียงใหม่ นัดไต่สวนกรณีการตายของนายอะเบ แซ่หมู่ ชาวชาติพันธุ์ลีซู ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2560 โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ราว 1 เดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรม 'นายชัยภูมิ ป่าแส' นักกิจกรรมชาวลาหู่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2560
ทั้งสองคดีเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่หทารใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งอ้างว่ายิงผู้ต้องสงสัยในคดียาเสพติดโดยระบุว่าเป็นการยิงป้องกันตัว เพราะผู้เสียชีวิตทั้งสองรายต่อสู้ขัดขืนเจ้าหน้าที่ แต่กรณีของนายชัยภูมิได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่อมวลชน หลังจากมีพยานระบุว่า นายชัยภูมิไม่ได้ต่อสู้หรือขัดขืนเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
เมื่อมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ป่าแส ทำให้ครอบครัวของนายอะเบที่ถูกวิสามัญฆาตกรรมในเวลาไล่เลี่ยกัน ตัดสินใจยื่นร้องเรียนทางกฎหมายอาญา ให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อจะได้เกิดความกระจ่าง
ล่าสุดเพจจากเจนีวาสู่ไทยแลนด์ฯ โพสต์คำสั่งการไต่สวนคดีนายอะเบวันนี้ (27 ก.ค.) ว่า หลังศาลจังหวัดเชียงใหม่พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ศาลมีคำสั่งว่าผู้ตาย คือ นายอาเบ หรือ อะเบ แซ่หมู่ ถูกพลทหารชนวีย์ ขำอเนก ใช้อาวุธปืนยิง จำนวน 1 นัด กระสุนปืนเข้าที่บริเวณทรวงอกด้านหลัง และแตกเป็น 3 ส่วน ออกบริเวณทรวงอกซ้ายด้านหน้าและห้องขวา กระสุนปืนทะลุหัวใจห้องล่างซ้าย ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายและขวาฉีกขาด มีเลือดออกภายในช่องอกจำนวนมาก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรค 5 บัญญัติให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่าใครเป็นผู้ทำร้ายเท่าที่ทราบได้บทบัญญัติของกฎหมายที่ให้ศาลทำคำสั่งในชั้นนี้
ทั้งคำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สิ้นสุด การวินิจฉัยในประเด็นไปในทางหนึ่งทางใดแล้ว คู่ความและบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลจากคำวินิจฉัยไม่อาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา เพื่อให้ศาลสูงทบทวนดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นได้อันย่อมส่งผลกระทบต่อบุคคลเหล่านั้น ศาลจึงไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว
ดังนั้นประเด็นที่โต้แย้งว่าผู้ตายมีเฮโรอีนซุกซ่อนไว้ในกระเป๋าสะพายหรือไม่ และการกระทำของพลทหารชนวีย์เป็นการป้องกันตัวตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นเรื่องนอกเหนือจากบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลจึงไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังศาลมีคำสั่งดังกล่าว ญาติเตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย โดยไม่จำเป็นต้องรอผลจากคดีอาญา ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือในการฟ้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: