ไม่พบผลการค้นหา
คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน และคิมจองอิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือซึ่งล่วงลับไปเมื่อปี 2011 เคยใช้พาสปอร์ตบราซิลในการยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1990

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของยุโรปเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า คิมจองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือในช่วงทศวรรษ 1990 และคิมจองอึน ผู้เป็นลูกชาย ใช้หนังสือเดินทางประเทศบราซิลในการยื่นขอวีซ่าเพื่อเข้ายุโรป โดยหนังสือเดินทางดังกล่าวได้ใช้ข้อมูลปลอม แต่รูปถ่ายที่ปรากฎอยู่ในหนังสือเดินทางสามารถยืนยันได้ว่าเป็น 2ผู้นำเกาหลีเหนือ

‘พวกเขาใช้หนังสือเดินทางบราซิลในการพยายามขอวีซ่าจากสถานฑูตต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นหลักฐานในการพยายามหลบหนีและเข้าไปในยุโรป’ หนึ่งในแหล่งข่าวกล่าวกับรอยเตอร์

แต่ทั้งนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าทั้งคู่ใช้หนังสือเดินทางเล่มดังกล่าวขอวีซ่าในการเข้าประเทศใด

สถานทูตเกาหลีเหนือประจำบราซิลได้ปฏิเสธข่าวดังกล่าว ขณะที่ทางกระทรวงการต่างประเทศของบราซิลกล่าวว่ากำลังดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้

Untitled5.png

ในหนังสือเดินทางเล่มดังกล่าวคิมจองอึน ได้ใช้ชื่อปลอมว่า โจเซฟ พัก และคิมจองอิล ใช้ชื่อว่า อีจองชเว หนังสือเดินทางเล่มดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1996 ออกโดยสถานทูตบราซิลประจำกรุงปราก สาธารณรัฐเชค นอกจากนี้ในหนังสือเดินทางยังระบุว่า คิมจองอึนหรือโจเซฟ พัก เกิดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะที่หนังสือเดินทางของคิมจองอิลที่ใช้ชื่ออีจองชเว ระบุว่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1940 ซึ่งปีเกิดจริงๆ ของคิมจองอิลนั้น คือปี 1941 แต่ทั้งนี้หนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มระบุสถานที่เกิดของทั้ง 2 คน คือเมืองเซาเปาลู ประเทศบราซิล

Untitled4.png

ทั้งนี้ เมื่อปี 2011 หนังสือพิมพ์โยมิยูริ ชิมบุนของญี่ปุ่น รายงานว่า ในปี 1991 คิมจองอึนเคยเดินทางไปโตเกียวด้วยหนังสือเดินทางของบราซิลภายใต้ชื่อ โจเซฟ พัก ซึ่งเป็นปีก่อนการออกหนังสือเดินทางของทั้งคู่ และเป็นที่รู้กันดีว่า ในวัยเด็กของคิมจองอึนนั้น เขาเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเขาได้ปลอมตัวใช้ฐานะเป็นลูกชายของพนักงานขับรถของสถานทูต

สำหรับหนังสือเดินทางของเกาหลีเหนือนั้นสามารถใช้เดินทางได้ 39 ประเทศโดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่า ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศในแถบแอฟริกา และหนังสือเดินทางของบราซิลสามารถเดินทางเข้าประเทศต่างๆ ได้ 84 ประเทศ รวมไปถึงประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์

ที่มา South China Morning Post และ Reuters