ไม่พบผลการค้นหา
สถิติอาชญากรรมตัวเลขฆ่ากันตายในเม็กซิโกสูงเป็นประวัติการณ์ จากการที่แก๊งค้ายาไล่ล่ากันเอง ก.ค.เดือนเดียวมีคดีเกือบ 2,600 คดี ปีที่แล้วถูกฆ่าตายร่วม 30,000 คน ล่าสุดความรุนแรงขยายเข้าเมืองท่องเที่ยวสำคัญจนทางการสหรัฐฯประกาศเตือนชาวอเมริกัน รัฐบาลเม็กซิโกเตรียมปรับแนวทางแก้ปัญหา จากการใช้กำลังเริ่มหันไปใช้ไม้นวมเข้าช่วย

สื่อหลายรายรายงานว่าสถานการณ์ การก่ออาชญากรรม อันเนื่องมาจากปัญหาค้ายาเสพติดในเม็กซิโกกำลังทวีความรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิม ตัวเลขยอดคนตายจากการสังหารกันของปีนี้พุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 14% ในขณะที่ปีที่แล้วก็ทำสถิติฆ่ากันตายกว่า 30,000 คน ทั้งหมดนี้เชื่อว่าเป็นผลพวงของการที่กลุ่มแก๊งอาชญากรรมค้ายาและสินค้าใต้ดินกลุ่มต่างๆต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงพื้นที่และเส้นทางการค้า ล่าสุดพื้นที่ก่อเหตุเริ่มขยายวงลามเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวจนทำให้รัฐบาลบางประเทศแสดงความเป็นห่วง

รายงานข่าวระบุว่า เฉพาะวันอังคารที่ผ่านมาวันเดียว มีผู้พบศพคนถูกฆ่าถึง 8 ศพในเมืองแคนคูน เมืองท่องเที่ยวสำคัญของเม็กซิโก โดยสองศพในจำนวนนี้เป็นของผู้หญิงหนึ่งและผู้ชายหนึ่ง ถูกพบอยู่ในรถแท็กซี่ที่จอดทิ้งไว้ อีกสองศพเป็นผู้ชายซึ่งสภาพศพถูกหั่นแยกชิ้นส่วนทิ้งในถุงพลาสติกหลายถุง มีผู้พบศพผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ถูกมัดและยิงเสียชีวิต และอีกคนถูกยิงเสียชีวิตในแปล ศพอีกรายถูกยิงและบรรจุในถุงพลาสติก ส่วนรายที่แปดยังไม่มีรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่

ข่าวระบุว่าศพทั้งหมดนี้พบในที่ที่อยู่นอกแหล่งพำนักของนักท่องเที่ยวในเมือง แต่เดอะไทมส์รายงานว่า ทั้งหมดนี้ก็ได้ทำให้ทางการสหรัฐฯออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐฯที่จะเดินทางไปเม็กซิโกให้ระมัดระวังตัว โดยระบุว่า แม้การสังหารที่เกิดขึ้นดูแล้วจะเป็นการกระทำที่มีการวางแผนและมีเป้าหมายชัดเจน แต่การต่อสู้กันของแก๊งเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่ท่องเที่ยว

รายงานข่าวระบุว่า เมืองแคนคูนเริ่มมีความรุนแรงปรากฎมากขึ้นเรื่อยๆ ไทมส์รายงานว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีผู้พบศพชายห้าคนถูกยัดใส่ไว้ในรถ ส่วนนิวสวีครายงานว่า ในเดือนเม.ย.มีเหตุคนถูกฆ่าตาย 14 รายอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดในห้วงเวลาใกล้เคียงกันคือ 36 ชั่วโมง ทั้ง 14 รายนั้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นเรื่องเชื่อมโยงกับการค้ายา

ด้านโกลบอลนิวส์ของแคนาดารายงานว่า ตัวเลขคนตายในปีนี้ในเขตตัวเมืองแคนคูนสูงขึ้นนับร้อยแล้ว สื่อรายนี้พูดถึงชาวแคนาดาที่เสียชีวิตหลายรายซึ่งถูกสังหารในหรือใกล้เมือง แต่ไม่สามารถเอาผิดใครได้

สื่อรายงานว่าตัวเลขคดีฆ่าคนตายในเม็กซิโกซึ่งคาดว่าเป็นผลของการต่อสู้กันเองของกลุ่มแก๊งอาชญากรรมใต้ดินนั้นเริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2558 เมื่อปีที่แล้วมีคดีที่เป็นเรื่องฆ่ากันตายถึง 25,316 คดี

ขณะที่จำนวนคนตายมีถึง 31,174 คน ปีนี้คาดว่าจะทำลายสถิติของปีที่แล้ว เฉพาะตัวเลขเจ็ดเดือนแรกของปีก็เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 14% ลอสแองเจลิสไทมส์ระบุว่าเดือนก.ค.เดือนเดียว เม็กซิโกมีคดีจากการฆ่ากันตายมากถึง 2,599 คดี กล่าวคือเฉลี่ยวันละ 84 คดี นอกจากนั้นในบางคดียังมีเหยื่อหลายคนด้วย

ธุรกิจค้ายาเสพติดผิดกฎหมายนั้นเป็นปัญหาใหญ่ในเม็กซิโก เส้นทางการค้ายามักเป็นเส้นทางเข้าสู่สหรัฐฯ ล่าสุดเวบไซท์ WECT รายงานไว้ว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯพบอุโมงค์เล็กๆที่ใช้ขนยาจากเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ โดยเชื่อมต่อระหว่างบ้านหลังหนึ่งแถบชายแดนเม็กซิโกลอดเข้าไปสู่ครัวของร้านที่เคยเป็นร้านอาหารฟาสฟู้ดเคเอฟซีในเมืองซานหลุยส์ เอริโซนาของสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่พบยาเสพติดทั้งเมทแอมเฟตามีน โคเคน เฟนทานิลและเฮโรอีน

สหรัฐฯนั้นสนับสนุนเม็กซิโกในความพยายามปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดอย่างเต็มที่ และที่ผ่านมารัฐบาลเม็กซิโกใช้วิธีการปราบปรามอย่างหนัก มีทั้งจับกุมคุมขัง เผาไร่ฝิ่นไร่กัญชา และส่งทหารจำนวนมากลงคุมพื้นที่ ลอสแองเจลิสไทมส์บอกว่า มาตรการของทางการอาจจะได้ผลในการปราบปรามระดับหนึ่งก็จริง แต่กลับกระตุ้นให้เกิดการก่ออาชญากรรมในทางกลับกัน

นสพ.อ้างผู้เชี่ยวชาญอย่างสกอต สจ้วร์ตแห่งสแตรทฟอร์ในรัฐเทกซัสที่เป็นกลุ่มศึกษาประเด็นความมั่นคงบอกว่า รัฐบาลเม็กซิโกมีทางเลือกไม่มาก ทางการจะต้องพยายามไม่ให้กลุ่มเหล่านี้เข้มแข็งขึ้นมาจนท้าทายอำนาจรัฐได้ แต่ปัญหาสำคัญคือ การใช้ยุทธวิธีเด็ดหัวคือกำจัดผู้นำกลุ่มได้ส่งผลทำให้สถานการณ์ไม่นิ่ง เขาบอกว่าหลายปีที่แล้วเม็กซิโกมีแก็งค์ค้ายาขนาดใหญ่ไม่กี่รายและคุมพื้นที่แต่ละส่วน ซึ่งทำให้เหตุการณ์สงบ แต่ในเวลานี้เกิดกลุ่มย่อยซึ่งแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างหนักทำให้ทุกพื้นเต็มไปด้วยความรุนแรงเพราะการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มเหล่านั้น 

นสพ.รายงานว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของเม็กซิโก นายโลเปซ โอบราดอร์ กำลังพยายามหาทางเลือกในการแก้ปัญหายาเสพติด เขาหันไปใช้วิธีใหม่ๆเช่นการทำให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย มีการนิรโทษกรรมอาชญากรบางส่วนโดยเฉพาะที่เป็นระดับล่าง แนวทางเช่นนี้นับว่าผิดแผกไปจากแนวทางเดิมที่เม็กซิโกเคยยึดมาตลอด คือการใช้กำลังปราบปราม แม้ว่าโอบราดอร์ยังไม่ได้เสนอให้นำทหารกลับเข้ากรมกองหรือปล่อยให้บรรดาเจ้าพ่อค้ายามีเสรีภาพ แต่เขาพยายามเน้นให้แก้ปัญหาแบบครบวงจร คือแก้ไขทั้งระบบ วิธีการของเขารวมไปถึงการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน สร้างงานสำหรับกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะเข้าไปอยู่ในธุรกิจใต้ดินเหล่านี้ การนิรโทษกรรมผู้มีส่วนร่วมแต่เป็นระดับล่างก็เชื่อว่าจะช่วยลดจำนวนคนหนุ่มประมาณ 600,000 คนที่เป็นแรงงานที่ธุรกิจใต้ดินและค้ายาว่าจ้างอยู่