สมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทยและอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นร้องเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีการตรวจ ราชการ เป็นการใช้ตำแหน่ง เอื้อพรรคการเมืองหรือไม่ โดยเริ่มจากตั้งแต่การแต่งตั้ง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ 21 ธันวาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน 

ทั้งนี้ ได้นำหลักฐานการโปรโมทตัวเองของ พล.อ.ประยุทธ์ มามอบให้กับกกต. ที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงพื้นที่ไป 16 ครั้ง 18 จังหวัด แฝงการหาเสียง หวังคะแนนเสียงอย่างไรบ้าง โดยใช้ทรัพยากรในการตรวจราชการ ทั้งเครื่องบินกองทัพอากาศ มีค่าน้ำมัน บินต่อครั้งเป็นแสนบาท พร้อมจัดเกณฑ์ชาวบ้าน ต้องใช้ตำรวจ รักษาความปลอดภัยนับร้อยนาย 

ขณะเดียวกัน มองว่า การไปตรวจราชการหลายเรื่อง ก็ไม่ใช่วิสัยของนายกฯ เช่น ที่ จ.นครราชสีมา ก็ไปตรวจอาคารจอดรถ และที่ จ.อยุธยา ก็ไปตรวจ โครงสร้างเจดีย์และโบราณสถาน ซึ่งเป็นบทบาทที่ไม่เหมาะสมของการเป็นนายกฯ ควรเป็นหน้าที่ของกองคลัง หรือนายกอบต. จะถือว่าทำงานเหมาะสมกับตำแหน่งมากกว่า ประกอบกับหลายกิจกรรม เช่นไปผัดหมี่ ไถนา แต่สองข้างก็ประกบด้วยผู้สมัครจากพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงเห็นว่าทุกอย่างทำเพื่อการหาเสียง 

ดังนั้น กกต. ต้องกำกับดูแลไม่ให้ข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง หรือ ข้าราชการการเมือง เอื้อประโยชน์ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ 

ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ถ้าในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และ พีรพันธุ์ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ จะถือว่ามีความผิดทันที ตามระเบียบกกต. ที่ประกาศ 180 วัน พร้อมย้ำว่าวันใดท่านสมัครท่านก็ทำผิดแล้ว ซึ่ง กกต. สามารถให้ใบส้มได้ 

ดังนั้นถ้า กกต.ฟังอยู่ โปรดรับรู้ ไม่มีกรอบเวลา ครอบคลุม 180 วัน หากสืบได้ ว่า กรรมการบริหารพรรครู้เห็น ก็สามารถยื่นศาล รธน.เอาผิดยุบพรรคได้ และตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งได้