กรุณพล เทียนสุวรรณ หรือ เพชร ผู้สมัคร ส.ส. เลือกตั้งซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ เบอร์ 6 จากพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ลดอันดับดัชนีการรับรู้ทุจริตของไทยให้อยู่ที่ 110 จาก 180 ประเทศ เป็นอันดับ 6 ของอาเซียน โดยในปีนี้ได้คะแนน 35 เต็ม 100 ลดจากปีที่แล้ว 1 คะแนน ว่า หนึ่งในข้ออ้างคลาสสิคของคณะรัฐประหารที่มีมาตลอด คือบอกว่ามาเพื่อปราบโกง ปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น ในความเป็นจริงตั้งแต่มีการรัฐประหารเป็นต้นมา พัฒนาการความโปร่งใสของรัฐบาลมีทิศทางที่เลวร้ายมาตลอด ในปีนี้คะแนนความโปร่งใสยังลดลงอีก นอกจากทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศแย่ลงแล้ว ยังเป็นความสูญเสียด้านความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย
กรุณพล กล่าวอีกว่า ยิ่งมาดูอันดับในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน อันดับของไทยอยู่ต่ำกว่า 1.สิงคโปร์ 85 คะแนน 2.มาเลเซีย 48 คะแนน 3.ติมอร์-เลสเต 41 คะแนน 4.เวียดนาม 39 คะแนน 5.อินโดนีเซีย 38 คะแนน หลายประเทศขยับแซงไทยขึ้นไปด้วยคะแนนที่ดีกว่าเดิม สะท้อนว่า ประเทศเพื่อนบ้านของเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับประเทศไทยที่มีรัฐบาลซึ่งเอาแต่ยกอ้างความเป็นคนดี มีศีลธรรม แต่ผลงานกลับดิ่งเหวในทุกด้าน รวมถึงด้านการปราบทุจริตคอร์รัปชั่น
“ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า รัฐบาลนี้สืบทอดอำนาจมาจากคณะรัฐประหาร คสช. ที่อ้างว่า มาปราบโกง มาปราบทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ผลงานกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จึงไม่แปลกใจที่ เมื่อมีการตรวจวัดกันด้วยมาตรฐานสากลครั้งใด ทั้งอันดับและคะแนนของไทยจะย่ำแย่ลงแทบทุกปี เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลไม่ยินยอมให้เกิดการตรวจสอบในทุกด้าน มีการเข้าไปแทรกแซงศาลและองค์กรอิสระทำให้กระบวนการตรวจสอบล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แม้แต่ ส.ส.ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลผ่านสภาก็ถูกมักขัดขวาง หรือที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือการไล่ฟ้องเพื่อปิดปาก ไม่ให้ทำหน้าที่ได้โดยง่าย การเป็นรัฐบาลที่ไม่ยอมให้มีการตรวจสอบแบบนี้ จึงนำไปสู่ความเฟื่องฟูของการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มักย้อนมาเสมอ ในยุคที่มีการปกครองโดยคณะทหารหรือรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ” กรุณพล กล่าว
สำหรับในวันนี้ เพชร-กรุณพล มีกำหนดการปราศรัยกรมยุทธโยธา โดยจะมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแกนนำพรรค มาร่วมปราศรัยหาเสียงให้กับ กรุณพลด้วย