ในยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ทำให้หลายบริษัทจำเป็นต้องปรับตัวและปรับบทบาทของตน ด้าน 'เอไอเอส' บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของไทย ผันตัวมาเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีโครงข่าย 5จี เพื่อตอบโจทย์บริการร่วมกับบริษัทอื่นๆ
ในความร่วมมือล่าสุดระหว่าง 'เอไอเอส' และ 'ประกันภัยไทยวิวัฒน์' เพื่อพัฒนารูปแบบประกันภัยให้ทันสมัยและตอบโจทย์กับผู้บริโภคมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีระบบโครงข่ายพลังงานต่ำ เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ (NB-IoT : Narrowband Internet of Things)
'จีรพันธ์ อัศวะธนกุล' ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์แรกปล่อยออกมาจากความร่วมมือนี้คือ 'บริการประกันรถเปิด-ปิด' ซึ่งออกแบบมาให้ผู้ใช้บริการสามารถควบคุมค่าเบี้ยประกันได้ตามเวลาการใช้งานจริง ส่งผลให้สามารถลดรายจ่ายเบี้ยประกันไปได้ถึงร้อยละ 40
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการให้เลือกเปิดปิดความคุ้มครองประกันรถแบบนี้ ทางบริษัทเริ่มทำมาตั้งแต่ก่อนมีความร่วมมือแล้ว ผ่านแอปพลิเคชันของบริษัท แต่ด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่บริษัทมีส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกสบายกับผู้บริโภค
'จีรพันธ์' เสริมว่า หลังจากที่ได้ 'เอไอเอส' เข้ามาเสริมทีมคิดทางออก เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้น จึงเป็นที่มีของการสร้างตัวส่งสัญญาณความถี่ต่ำที่จะนำไว้เสียบกับพอร์ทยูเอสบีในรถยนต์ ซึ่งจะส่งสัญญาณเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันอัตโนมัติเมื่อรถมีการเคลื่อนที่และหยุดนิ่ง ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเปิดปิดความคุ้มครองได้แบบอัตโนมัติ
ขณะที่ 'ยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล' หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า ด้วยศักยภาพและเทคโนโลยีที่เอไอเอสมีบริษัทพร้อมที่จะร่วมพัฒนากับองค์กรต่างๆ โดยความร่วมมือกับบริษัทประกันภัยครั้งนี้ไม่ใช่ข้อตกลงพิเศษที่ไม่อนุญาตให้เอไอเอสร่วมงานกับบริษัทประกันภัยอื่นๆ เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่มีบริษัทประกันภัยอื่นเข้ามาใช้บริการ
ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้ยังไม่ได้จำกัดอยู่ที่ประกันภัยรถยนต์ แต่ทั้งสองบริษัทมีความพยายามผลักดันให้ระบบ NB-IoT สามารถนำไปใช้กับประกันการเดินทาง ที่จะเชื่อมต่อกับซิมโทรศัพท์แบบโรมมิ่งของเอไอเอส และ ประกันสุขภาพที่จะเชื่อมต่อข้อมูลกับอุปกรณ์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
เทรนด์การเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ทำให้บริษัท โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด การมีพันธมิตรจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่ามีศัตรู แต่นี่ก็หมายความว่า ผู้บริโภคกำลังจะเจอการควบรวมกิจการมากขึ้น สนามการแข่งขันที่ควรจะต่อสู้กันจึงจะกลายเป็นการจับมือกันที่มากเกินไป