ไม่พบผลการค้นหา
ความฝันและการต่อสู้เพื่อ 'รัฐสวัสดิการ' ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ว่ารัฐบาลในปัจจุบันจะผุดนโยบายประชารัฐหรือไทยนิยม แต่กลับถูกมองว่าเป็นการ 'สงเคราะห์' จำแนกแบ่งแยกชนชั้น ไม่มีหลักประกันความมั่นคงทางชีวิต ด้วยเสียงที่ดังมาจากวงเสวนา "ไทยนิยม (ไม่) ยั่งยืน หยุดรัฐสงเคราะห์ เดินหน้ารัฐสวัสดิการ ประชาชนต้องมีบำนาญถ้วนหน้า"

นายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวถึงจุดยืนในการขับเคลื่อนของภาคประชาชนคือการเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพ และหลักประกันด้านการเงิน ซึ่งคนทุกคนควรจะมีหลักประกันด้านรายได้เมื่ออายุถึง 60 ปี เพราะประชาชนร่วม 50 ล้านคนทั่วประเทศ ไม่มีความมั่นคงด้านรายได้ เป็นเพียงการช่วยเหลือภายใต้เงื่อนไข 'รัฐสงเคราะห์' ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พบว่าไม่มีหลักประกันด้านรายได้ สะท้อนวิธีคิดของรัฐที่มองว่า คนที่จะได้รับสิทธิต้องเป็นคนยากจน "เราต้องเชื่อว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเท่าเทียมกัน " นิมิตร์ กล่าว

สุขภาพ.jpg

ในส่วนการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 'นิมิตร์' เห็นว่ารัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญ ขณะที่ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในการผลักดันให้มีการแก้กฎหมายเพื่อสร้างสิทธิ พวกเขามองว่าหากไม่มีการแก้ไขจะทำให้ต้องอยู่กันแบบระบบสงเคราะห์ ซึ่งเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน ที่มีช่องโหว่โดยให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐกำหนดว่าใครเป็นผู้ยากไร้ ขณะที่องค์กรอิสระอย่างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กลับปล่อยให้เกิดการทุจริต

ยกตัวอย่างเช่น การโกงเงินคนจน การทุจริตงบการศึกษา รวมถึงไม่มีการตรวจสอบการใช้งบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ สุดท้ายแล้วขบวนการของประชาชนต้องเข้มแข็งไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ประชาชนทุกคนต้องออกมาจากความกลัว ถ้าเราจะสู้กับรัฐบาลทหารหรือนักการเมือง ทุกคนต้องออกมาสู้เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดรัฐสวัสดิการ เพื่อแก้ปัญหาความจนเรื้อรัง ที่ทุกคนต้องรวมกันเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ

"ถ้าเราจะเดินไปข้างหน้า โดยหยุดระบบสงเคราะห์ เราจะหยุดการคอร์รัปชันได้ เมื่อเราสร้างรัฐสวัดิการให้เกิดการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานและการมีส่วนร่วม มันถึงเวลาแล้วที่ประชาขนจะลุกขึ้นมาทวงถามสิทธิของตัวเอง" นิมิตร์ กล่าว


'รัฐสวัสดิการ' ไม่เกิดขึ้นภายใต้ 'รัฐบาลเผด็จการ'

เมื่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มภาคประชาชนเริ่มขยายวงกว้างด้วยการเรียกร้อง 'รัฐสวัสดิการ' อุปสรรคที่ขวางกั้นความเท่าเทียมในสังคมยังคงปรากฎอยู่ โดยดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์สาขาวิชาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าสัญญาณที่มีความหวังในการผลักดันให้เกิดรัฐสวัสดิการ คือการได้ออกมาพูดคุยกันในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น

แม้ว่าในปัจจุบันยังมีสื่อที่นำเสนอทุกอย่างคือการสงค์เคราะห์ ที่อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการแบกรับของคนการเกิดขึ้น ขณะเดียวกันคนจนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งมีตัวเลขที่สวนทางกับมูลค่าทางเศรษฐกิจในประเทศไทย

ผลของนโยบายรูปแบบรัฐสวัสดิกาลแบ่งเป็น 3 โมเดล ประกอบไปด้วย 


  • 'รูปแบบการตลาด' ค่าใช้จ่ายด้านพิสูจน์ความจน อิทธิพลของกลุ่มทุนทางการเงินที่เข้ามาบริหารความเสี่ยง
  • 'รูปแบบประกันสังคม' ผูกติดกับองค์กร คาดหวังให้มีประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้รับประกันชีวิตที่มั่นคงเมื่อไม่ได้ทำงาน หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการทำงานแบบเป็นทางการ 
  • 'รูปแบบรัฐสวัสดิการ' ค่าใช้จ่ายสูงดูแลทุกคนเยี่ยงมนุษย์ รับประกันชีวิตที่มั่นคง


3 เสาในการสกัดกั้นรัฐสวัสดิการ ประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ


  • กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ มีเจตนาดีในการผลักดัน แต่ไม่ค่อยเชื่อถือในการต่อสู้แบบรวมหมู่และเล็งผลประโยชน์ในระยะสั้น 
  • ลัทธิท้องถิ่นนิยม ที่มองว่าคำตอบอยู่ที่ชุมชนสร้างทุนสร้างโอกาสในเฉพาะประเด็นของตัวเอง สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือต่อสู้เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกัน
  • ลัทธิเสรินิยมใหม่ ที่มองว่ารัฐสวัสดิการขาดข้อมูลที่ดี แต่ไม่แตะโครงสร้าง


ดังนั้นความเข้าใจผิดที่ว่ารัฐสวัสดิการทำให้คนขี้เกียจ แท้จริงแล้วรัฐไม่ได้แจกเงิน แต่ทำให้คนไม่ต้องกังวลเวลาป่วยเวลาตกงาน ไม่ต้องเป็นหนี้ไม่ต้องซื้อกองทุน ซึ่งจะให้คนอยากทำงานเพราะเงินประกันว่างงานที่มากพอทำให้คนมีเวลาเลือกงานที่อยากทำไม่ใช่ต้องทำ 

แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนที่เป็นไปได้ที่จะเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย ต้องมีการเพิ่มงบประมาณด้านสวัสดิกาล รวมถึงท้ายทายอำนาจชนชั้นสูง ท้าทายระบบทุนนิยม และท้าทายอำนาจเผด็จการและการผูกขาดการปฏิรูปต้องมาพร้อมกับการปฏิวัติ

อธิบายได้ว่ารัฐสวัสดิกาลต้องถ้วนหน้าครบวงจรไม่ใช่การสงเคราะห์ และการกระจายอำนาจให้มากที่สุด เมื่อทุกอย่างต้องมีการผลักดันให้พรรคการเมืองชูนโยบายในการสร้างนโยบายรัฐสวัสดิการ เพื่อให้เกิดฉันทามติร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างสวัสดิการทั้งเรื่องเงินรายได้ต่อหัว การเข้าสู่วัยทำงาน การรักษาพยาบาล จนนำไปการเกษียนอายุ ซึ่งอาจต้องใช้เงิน 650,000 ล้านบาท เท่ากับ 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับงบประมาณประจำปี 2.2 ล้านล้านบาท ในการสร้างนอร์มิกโมเดล ในบริบทของประเทศไทย เพื่อสร้างความเท่าเทียมเท่ากับประเทศที่ใช้ระบบสวัสดิการ บัตรสวัดิการแห่งการแบ่งชนชั้น


เมื่อ 'คนจน' เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยก

คนไร้ที่พึ่ง คนจน หัวลำโพง 0180307_Sek_26.jpg


ขณะที่ 'น.ส.นุชนารถ แท่นทอง' ตัวแทนจากเครือข่ายสลัมสี่ภาค กล่าวถึงบัตรสวัสดิภาพคนจน พบว่ามีปัญหาทำให้เกิดความขัดแย้งภายในชุมชน ที่คนจนจริงไม่ได้บัตร ส่วนบางครอบครัวได้หลายใบ สะท้อนถึงรัฐไม่ได้มีมาตรฐานตรวจสอบ และทำให้คนจนถูกแยกประเภท ที่รัฐใช้วิธีการคิดแบบทุนกับรัฐ

โดยไม่ถามคนที่ได้รับผลกระทบว่าต้องการแบบสงเคราะห์หรือแบบถ้วนหน้า และเป็นการแบ่งชนชั้นเป็นกลุ่มๆออกจากกัน ทำให้คนจนเป็นเครื่องมือในการเป็นข้ออ้างของการแก้ปัญหา แต่ไม่มีการถามว่าได้รับสิทธิหรือมีส่วนร่วมจริงหรือไม่ 

อ่านเพิ่มเติม

พิชิตศักดิ์ แก่นนาคำ
ผู้สื่อข่าว Voice Online
91Article
1Video
0Blog