ไม่พบผลการค้นหา
หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างแย่งชิงการเป็นฐานของสตาร์ทอัพด้วยนโยบายของรัฐบาลที่แข่งขันเพื่อดึงดูุดนักลงทุนและผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้งจากภายในและภายนอกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตและบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งหลายประเทศที่น่าจับตามองทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์และไทย

เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กลายเป็นแรงดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติและผู้ประกอารสตาร์ทอัพทั้งจากภายในภูมิภาคและจากนอกภูมิภาคให้เข้ามาตั้งบริษัทและฐานการผลิตต่างๆ ภายในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

รัฐบาลแต่ละประเทศต่างแข่งขันกันทางนโยบาย รวมไปถึงการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆเพื่อดึงดุดผู้ประกอบการใหม่ๆ เหล่านี้ 'วอยซ์ ออนไลน์' ชวนสำรวจประเทศต่างๆ ในอาเซียนว่าเมืองใดบ้างที่เอื้ออำนวยต่อเหล่าผู้ประกอบการรายใหม่ หรือสตาร์ทอัพ

1.สิงคโปร์


pierpaolo-lanfrancotti-185554-unsplash.jpg

การเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีสตาร์อัพเยอะที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยนโยบายของรัฐบาลและความพร้อมในการลงทุนที่สนับสนุนการก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ๆ จำนวนบริษัทสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาโดยในปี 2003 มีบริษัทสตาร์ทอัพ 2,800 แห่ง และเพิ่มขึ้นเป็น 4,300แห่งในปี 2016 ขณะที่เงินการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้สูงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 400,000 ล้านบาท

อิงลัน ตัน หนึ่งในผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพในสิงคโปร์กล่าวว่า การที่สิงคโปร์เป็นที่สนใจของนักลุงต่างชาติ โดยเฉพาะในสายเทคโนโลยี เป็นเพราะว่ากฎหมายของสิงคโปร์ รวมไปถึงระบบการจัดการภาษีที่เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นดินแดนที่สามารถดึงดูดผู้ประกอบการ และผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆให้เข้ามาก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ จากความอำนวยสะดวกในการทำธุรกิจ คุณภาพชีวิตในสิงคโปร์ และการศึกษาของสิงคโปร์ที่มีคุณภาพระดับสูง

และเมื่อปี 2011 มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เปิดตัวพื้นที่สำหรับเหล่าสตาร์ทอัพ ในโครงการ BLOCK 71 เพื่อรองรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ 250 รายและบริษัทรายย่อยอีก 30 แห่งเหมือนกับโครงการ the pioneering ที่เป็นพื้นที่รองรับสตาร์ทอัพ 500 แห่งในซิลิคอน วัลเลย์ของสหรัฐฯ

2.กรุงจาการ์ตา, อินโดนีเซีย


muhammad-haikal-sjukri-764221-unsplash.jpg

แม้ว่ากรุงจาการ์ตาจะขึ้นชื่อว่าเมืองที่มีการจราจรหน้าแน่นและสาหัสมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก แต่ด้วยประชากรกว่า 260 ล้าน และกว่าร้อยละ 60 เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี และภายในปี 2020 ประชากรอินโดนีเซียทั่วประเทศ จะมีการเข้าถึงมือถือสมาร์ทโฟนมากกว่าร้อยละ 78 ส่งผลให้อินโดนีเซียกลายเป็นประเทศหนึ่ง ที่ดึงดูดผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจากที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในสตาร์ทอัพสายการบริโภค ซึ่งธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างอีคอมเมิร์ชและธุรกิจการคมนาคมต่างเติบโตได้ดีในเมืองหลวงของอินโดนีเซีย

อย่างไรก็ตามสำหรับอินโดนีเซียแล้วธุรกิจสตาร์ทอัพในอนาคตที่น่าสนใจจะมุ่งเน้นไปที่การให้บริการต่างๆ เช่น ระบบการชำระเงินออนลไน์ การขนส่ง รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อการโฆษณา เป็นต้น 

เมื่อปี 2017 ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด สั่งให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายที่สนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเพื่อผลักดันให้อินดดนีเซียเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางรัฐบาลดินโดฯยังตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2020 อินโดนีเซียจะมีสาตร์ทอัพเกิดขึ้นอย่างน้อย 1,000 แห่ง โดยดึงดูดผู้ประกอบการต่างๆ ด้วยนโยบายทางการเงินทั้งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการทางภาษีสำหรับผู้ประการสตาร์ทอัพที่มีรายได้ต่ำกว่า 4,800 ล้านรูปี หรือประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตามความท้าทายที่อินโดนีเซียต้องเผชิญคือ ความสามารถและทักษะของประชากรในประเทศ ซึ่งอินโดนีเซียสามารถผลิตวิศวกรในแต่ละปีได้ 278 คน ต่อประชากร 1 ล้านเท่านั้น ซึ่งนับว่ายังมีอัตราที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างไทยหรือมาเลเซีย

3.กรุงเทพมหานคร, ไทย


braden-jarvis-732105-unsplash.jpg

ไมเคิล คลูเซล ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทแอปพลิเคชันจองร้านอาหารชื่อดังอย่าง Eatigo เปิดเผยว่า สาเหตุที่เลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่และเป็นที่ทดลองตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะว่า ประชากรกรุงเทพฯกว่า 8.2 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง และมีการใช้งานที่เข้าถึงอินเตอร์เนตในอัตราที่สูง รวมไปถึงบริบทการแข่งขันทางธุรกิจยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในยุโรป

ขณะที่โจจิโร โคชิ ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาก่อตั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านกำลังคนในบริษัทต่างๆ อย่าง TalentEx กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ค่าครองชีพยังไม่สูงเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ และยังมีการคมนาคม โครงการสร้างพื้นฐานต่างๆ อย่างเช่น การขนส่งสาธารณะที่สะดวกและดีกว่ากรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย

รัฐบาลปัจจุบันพยายามดึงดูดสตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้ามาทำธุรกิจในไทยมาขึ้นด้วยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มีเป้าหมายเปลี่ยนให้ไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการชาวต่างชาติอาจจะต้องเผชิญกับข้อกฎหมายในการถือครองหุ้นที่จำกัดของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะข้อบังคับให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในกิจการได้เพีงร้อยละ 49 เท่านั้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดในด้านเงินลงทุนจากต่างชาติที่จะไหลเข้ามาในภาคธุรกิจต่างๆ

อย่างไรก็ตามนโยบายของรัฐบาลไทยพยายามผลักดันพรบ.ผู้ประกอบการไทย พ.ร.บ.ว่าด้วยการทดลองทดสอบแนวคิดหรือโมเดลการพัฒนาใหม่ และพ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งทั้ง 3 พ.ร.บ.นี้อาจจะช่วยให้ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ได้ 100 เปอร์เซ็น ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ก่อนการจัดการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 

4.เมืองปีนัง, มาเลเซีย


mega-caesaria-577725-unsplash.jpg

เมืองปีนัง อดีตเมืองท่าที่สำคัญของมาเลเซียตั้งแต่ยุคอาณานิคม ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองของเหล่าผู้ประการรุ่นใหม่ หรือสตาร์ทอัพ ในปี 2012 แอนโทนี ตัน และ ตัน ฮุย หลิง ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน MyTeksi ในมาเลเซีย ก่อนที่จะย้ายไปยังสิงคโปร์ในปี 2014 และเปลี่ยนชื่อเป็น Grab และกลายเป็นแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่ผ่านมาปีนังยังเป็นเมืองที่ตั้งของบริษัทต่างชาติหลายบริษัทรวมไปถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนของอินเทล จึงทำให้ปีนังกลายเป็นเมืองของเหล่าผู้ประการในสายเทคโนโลยีและวิศวกรรม

ขณะที่รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ด้วยการลดมาตรการภาษีให้แก่ผู้ประการใหม่สูงสุดถึง 500,000 ริงกิต หรือประมาณ3,500,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี นอกจานี้รัฐบาลยังสนับสนุนเงินทุนให้แก่สตาร์ทอัพโดยมีกองทุนstate-owned Cardle Fund ให้เงินจำนวน 25,000 - 800,000 ริงกิต หรือประมาณ 175,000 - 5,600,000 บาทแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งมีบริษัทสตาร์ทอัพกว่า 700 แห่งที่ได้รับเงินทุนจากกองทุนนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพในสายเทคโนโลยี AI และ เทคโนโลยีบล็อกเชน ปัจจุบันมาเลเซียมีบริษัทสตาร์อัพเกิดใหม่กว่า 900 แห่ง

โฮจิมินห์ซิตี้, เวียดนาม


tron-le-804512-unsplash.jpg

เมื่อปี 2016 รัฐบาลท้องถิ่นโฮจิมินห์ได้เปิดตัวศูนย์เทคโนโลยีสำหรับสตาร์ทอัพในเขตSaigon Hi-Tech Park พื้นที่กว่า 11,000 ตร.เมตร ด้วยเงินลงทุนกว่า 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของรัฐบาลเวียดนาม เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบริษัทและสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างอินเทลและซัมซุง 

แม้ว่าศักยภาพในการแข่งขันในการเปิดพื้นที่ให้แก่เหล่า บริษัทสตาร์ทอัพของเวียดนามยังเป็นรองสิงคโปร์และอินโดนีเซีย แต่ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลกลางเวียดนามที่ผลักดันให้เมืองใหญ่ของเวียดนามอย่างฮานอย ดานัง และโฮจิมินห์กลายเป็นเมืองสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี รวมไปถึงการเปิดตัวกองทุนสำหรับสตาร์ทอัพมูลค่ากว่า 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,800 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังมีแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการใหม่หรือสตาร์ทให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่างๆได้มากกว่า 701 แห่งในเวียดนาม ซึ่ง 2 ใน 3 ของบริษัทเงินทุนเหล่านี้เป็นกองทุนจากต่างชาติที่เข้ามาในเวียดนาม ส่งผลให้ปัจจุบันเวียดนามมีผู้ประกอบการใหม่หรือบริษัทสตาร์ทอัพประมาณ 3,000 แห่งที่เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในเวียดนาม


ที่มา Nikkei Asian Review