นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า หากมองย้อนตั้งแต่ปี 2548 ตอนกลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบันอย่างยอมรับความจริงจะเห็นว่า สิ่งที่นายนคร มาฉิม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์พูดคือคำอธิบายที่ตรงไปตรงมาถึงทฤษฎีสมคบคิดทางการเมืองที่ นปช.และอีกหลายคนพูดมาตลอด เมื่อยืนยันโดยอดีต ส.ส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำให้เรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้น บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ต่อการยึดอำนาจทั้ง 2 ครั้งเป็นแบบเดียวกันคือ ร่วมมือกับกลุ่มจัดตั้งเพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาล บอยคอตการเลือกตั้ง เดินเกมเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และรอรับดอกผลจากการเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งด้วยกติกาของฝ่ายยึดอำนาจ
"เพียงแต่คราวนี้ คสช.บอกว่า คมช.ทำเสียของจึงกำหนดให้มีนายกฯ คนนอกได้ และมีแนวโน้มว่าผู้มีอำนาจจะไปต่อสถานะของพรรคประชาธิปัตย์จึงเปลี่ยนจากชิ้นส่วนหลักเป็นเพียงอะไหล่ แกนนำหลักอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งออกตัวมาไกลจึงต้องแปลงสภาพตัวเองเป็นหุ้นส่วนอำนาจกับคณะรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่งที่นักการเมืองที่ถือกำเนิดจากวิถีทางประชาธิปไตยเป็นไส้ศึกทำลายประชาธิปไตยเสียเอง" นายณัฐวุฒิ ระบุ
นายณัฐวุฒิ ระบุว่า นอกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว กลุ่มพลังฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหลายที่ถูกพูดถึงก็ควรทบทวนตัวเอง การใช้อำนาจบิดเบือนหลักการต้องยุติ ถ้าวิธีนี้ดีจริงบ้านเมืองคงเจริญไปแล้ว มาตรฐานแบบชื่นชมการเลือกตั้งในมาเลเซีย แต่ประณามคนอยากเลือกตั้งในไทย ไม่ได้อธิบายว่าคนฐานะดี การศึกษาสูง จะมีสำนึกเรื่องประชาธิปไตยมากกว่าชาวบ้านคนธรรมดา ความเชื่อว่าคนเท่ากันและเคารพในความเป็นมนุษย์ต่อกันต่างหาก คืออนาคตที่งดงามของสังคมไทย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง