รัฐบาลออสเตรเลียออกแถลงการณ์ลงวันที่ 23 ส.ค. เพื่อชี้แจงเงื่อนไขการลงทุนเกี่ยวกับระบบเครือข่าย 5G ภายในออสเตรเลีย โดยระบุว่าเทคโนโลยีดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่บริษัทที่จะลงทุนในกิจการดังกล่าวได้ ต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงกิจการภายในที่กระทบต่อความมั่นคงของออสเตรเลีย
แม้เนื้อหาในแถลงการณ์ของรัฐบาลออสเตรเลียจะไม่ได้ระบุชื่อบริษัทหรือกิจการสัญชาติใดโดยเฉพาะเจาะจง แต่บริษัทหัวเว่ย ซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีไร้สายรายใหญ่ของจีน เผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์ของบริษัทหัวเว่ย ออสเตรเลีย โดยระบุว่า บริษัทเป็นหนึ่งในกิจการของเอกชนต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมลงทุนระบบ 5G ในออสเตรเลีย และเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างยิ่งที่บริษัทไม่ได้รับโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ ทั้งที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี
ส่วนบริษัทสัญชาติจีนอีกแห่งหนึ่งที่ถูกห้ามลงทุนระบบ 5G ในออสเตรเลียเช่นกัน คือ ZTE ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่อันดับ 4 ของจีน
จากกรณีดังกล่าวทำให้ 'หลูกัง' โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกแถลงการณ์ติเตียนรัฐบาลออสเตรเลีย โดยระบุว่า บริษัทหัวเว่ยและแซดทีอีเป็นกิจการของเอกชนที่ดำเนินการตามนโยบายของคณะกรรมการผู้บริหาร และรัฐบาลไม่เคยแทรกแซงกิจการเหล่านี้แต่อย่างใด คำสั่งห้ามของออสเตรเลียเป็นเพียงข้ออ้างในการกีดกันกลุ่มทุนจากต่างประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ ออสเตรเลียไม่ใช่ประเทศแรกที่อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงในการกำกับดูแลหรือกีดกันกิจการที่เกี่ยวข้องกับระบบสื่อสารและโทรคมนาคมของจีน เพราะสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรต่างก็มีคำสั่งเฝ้าระวังกิจการด้านนี้ของจีนมาก่อนแล้ว
ทางด้านบริษัทโวดาโฟนและบริษัทออปตัส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์และการสื่อสารรายใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของออสเตรเลีย ทั้งยังเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าบางประเภทจากหัวเว่ย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งห้ามของรัฐบาลออสเตรเลียโดยระบุว่า ท่าทีดังกล่าวทำให้เกิดความสับสนในกลุ่มผู้ลงทุน เพราะที่ผ่านมา โวดาโฟนได้ตรวจสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์และระบบต่างๆ ของหัวเว่ย แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติที่เป็นภัยต่อความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม โวดาโฟนและออปตัสย้ำว่าพร้อมจะให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐบาลออสเตรเลียที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและพัฒนาระบบ 5G ภายในประเทศ
ที่มา: CNN Money/ Engadget/ Reuters
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
