ไม่พบผลการค้นหา
หลังจากขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งกันและกันจนแวดวงเศรษฐกิจสะเทือน ทีมเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับจีนก็ได้พบปะกันเป็นเวลาสองวัน นักวิเคราะห์และสื่อต่างตรวจสอบว่า การพูดคุยหนนี้จะได้อะไรหรือไม่

ทีมของสหรัฐฯ ที่นำโดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ได้เข้าร่วมเจรจากับทีมของจีนที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ นายหลิว เฮ่อ ที่กรุงปักกิ่งตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ค. และการพูดคุยจะจบลงในวันนี้ (4 พ.ค.)

สื่อต่างรายงานว่าการพบปะกันหนนี้ถือได้ว่าเป็นความพยายามในอันที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการตอบโต้กันไปมาจนกลายเป็นสงครามการค้า หรือสงครามภาษีนำเข้า ทั้งนี้เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่พอใจที่ขาดดุลการค้ากับจีนจำนวนมากและได้เรียกร้องให้จีนหาทางช่วยลดตัวเลขได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลงปีละ 100,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นยังได้ใช้มาตรการบางอย่างที่เป็นการกีดกันการเข้าถึงตลาดสินค้าบริการบางอย่างของสหรัฐฯด้วย

ก่อนที่ทีมจะออกเดินทางไปจีน รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ นายวิลเบอร์ รอส แสดงท่าทีที่แข็งกร้าวโดยบอกกับสื่อว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯนั้นมีต้นตอมาจากวิธีปฏิบัติทางการค้าที่สหรัฐฯรู้สึกว่าไม่เอื้อต่อฝ่ายตน โดยเขาใช้คำว่าเป็น 'วิธีปฏิบัติที่เลวร้าย' ขณะนี้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนถึง 375,000 ล้านดอลลาร์ เซาท์ไชนามอร์นิ่งโพสต์ระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการให้จีนลดภาษีนำเข้าให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ และให้เปิดตลาดมากขึ้น 

เซาท์ไชนามอร์นิ่งโพสต์ชี้ว่า ที่เป็นประเด็นสำคัญด้วยคือเรื่องที่ผู้ผลิตสหรัฐฯ เป็นห่วงว่าในระยะต่อไปจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับจีน เพราะจีนมีนโยบายเมดอินไชน่า 2025 ซึ่งจะทุ่มพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต 10 ประเภท รวมไปถึงเทคโนโลยีด้านข้อมูล เครื่องจักรชั้นสูง หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ แต่ว่าคงยากที่จีนจะยอมลดเป้าหมายของตนลง

ซีเอ็นเอ็นระบุว่า ภาคเอกชนสหรัฐฯ ต้องการให้รัฐบาลของตนกดดันจีนให้ยุติการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาด้านเทคโนโลยี บลูมเบิร์กรายงานว่าจีนยืนยันจะไม่ยอมทำตามคำขู่ ไม่ว่าเรื่องลดตัวเลขขาดดุลการค้า หรือการที่จะต้องยอมยกเลิกนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของตนเอง

เสิ่นเจิ้น-จีน-เมืองจีน

บลูมเบิร์กระบุว่าความตึงเครียดในเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้าของสองฝ่ายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ที่สหรัฐฯ ตัดสินใจห้ามไม่ให้มีการขายเทคโนโลยีที่สำคัญของอเมริกันให้กับผู้ผลิตสินค้าโทรคมนาคม คือ แซททีอีของจีน และสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบบริษัทหัวเหว่ยเทคโนโลยี สื่อรายงานว่า ในเดือนหน้าสหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของจีนเพิ่มเป็นมูลค่ารวม 5,000 ล้านดอลลาร์ 

แต่รายงานของสื่อหลายสำนักชี้ว่า การพูดคุยไม่น่าจะได้ผลมากนัก ปัญหาประการหนึ่งมาจากองค์ประกอบของทีมเจรจาของสหรัฐฯ ซึ่งเซาท์ไชนามอร์นิ่งโพสต์บอกว่าเต็มไปด้วยสายเหยี่ยว บลูมเบิร์กอ้าง เอเวน เมไดรอส แห่งยูเรเชียกรุ๊ปและเคยเป็นผู้อำนวยการอาวุโสของฝ่ายกิจการเอเชียของสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว เขาวิเคราะห์ทีมของนายทรัมป์ว่า คงยากที่ทีมนี้จะเจรจาอะไรได้ผลเพราะว่าทีมใหญ่เกินไป ในทีมมีกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันเองค่อนข้างมาก เขาเห็นว่า สิ่งที่จะปรากฎให้เห็นในการพูดคุยกันหนนี้คือปัญหาที่สหรัฐฯ ขาดการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายการค้ากับจีน ซึ่งก็จะยิ่งลดความน่าเชื่อถือของทีมสหรัฐฯ ในสายตาของจีนลงไปอีก ด้านซีเอ็นเอ็นอ้างความเห็นนายไมเคิล คามูเนซจากโมนาร์ค โกลบอล สตราเตอจี ชี้ว่าทีมสหรัฐฯ ไม่มีเอกภาพในเรื่องจุดยืน

ส่วนโฆษกของฝ่ายจีนยืนยันการเจรจาหนนี้ต้องกระทำด้วยความเท่าเทียมกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่จีนบอกกับบลูมเบิร์กว่า หากเกิดสงครามการค้าขึ้น ระบบการเมืองและระบบการนำที่รวมศูนย์ของจีนจะช่วยจีนได้อย่างแน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นว่า สิ่งที่น่าจะคาดหมายได้มากที่สุดน่าจะเป็นการลดอุณหภูมิของการเผชิญหน้ากันและทำให้เข้าใจกันและกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝ่ายสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายเห็นว่าไม่ได้ชัดเจนในเรื่องว่าต้องการอะไรกันแน่ในรายละเอียด นอกเหนือไปจากภาพกว้างดังกล่าว นักวิเคราะห์บางรายบอกว่า อย่างมากที่สุดที่น่าจะได้จากการพูดคุย น่าจะเป็นเรื่องของการชะลอเวลาในอันที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม ส่วนที่ทรัมป์หวังว่าจะขยายขอบเขตการเจรจาไปสู่เรื่องของอุตสาหกรรมยิ่งจะทำให้เรื่องยากหนักขึ้นไปอีก

แต่ทั้งนี้ก็มีฝ่ายที่มองว่าทั้งสหรัฐฯ และจีนจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการค้าอย่างเต็มรูปแบบ สกอต เคนเนดี้ นักวิเคราะห์ของศูนย์ยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษาบอกกับเซาท์ไชนามอร์นิ่งโพสต์ว่า เขาไม่เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายต้องการให้เกิดสงครามการค้า แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่ว่าจีนน่าจะมองว่า สหรัฐฯ ได้รับแรงผลักดันมาจากการเมืองภายใน จากแนวคิดที่กำลังมีบทบาทในอเมริกา ไม่เกี่ยวกับเรื่องว่าจีนทำอะไรที่ผิดจริงๆ โอกาสในการพบกันหนนี้น่าจะช่วยให้จีนได้เข้าใจสถานการณ์ของสหรัฐฯได้ดีขึ้น 

Photo: AFP/ Denys Nevozhai on Unsplash

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: