โควิด-19 เป็นประเด็นใหญ่และส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนทั่วโลกในทุกมิติ ทั้งวิถีชีวิต สภาพจิตใจ ข่ายใยทางสังคม และเศรษฐกิจ และขณะนี้ หลายประเทศก็ประเมินแล้วว่า จะต้องอยู่กับโควิดไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง
4 แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ย้ำความตระหนักในประเด็นนี้อย่างจริงจังโดยจัดเวลาให้สัมภาษณ์ 'วอยซ์ออนไลน์' อย่างแทบจะพร้อมหน้า
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค ขอตอกย้ำข้อเสนอที่ได้เสนอไปก่อนหน้านี้ตลอดหลายสัปดาห์ว่า ต้องสยบการระบาดให้เร็ว ด้วยมาตรการ 21 วัน และพร้อมกันนั้นต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจด้วย
นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงาน เปิดประเด็นความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะประชาคมโลกล้วนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และล่าสุด พรรคคอมมิวนิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ประสานความร่วมมือมายังพรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองทั่วโลกอีกนับร้อยพรรค เพื่อประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างอนาคตด้านสาธารณสุขร่วมกัน
นายวัฒนา เมืองสุข ชี้ว่าคนเล็กคนน้อยคือคนที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งๆ ที่พวกเขาคือฐานใหญ่ที่รองรับเศรษฐกิจไทย รัฐต้องผ่อนปรนให้พวกเขาได้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความปลอดภัย ทั้งระบุด้วยว่า โควิด-19 คือโอกาสที่รัฐต้องตีความและมองนโยบายความมั่นคงเสียใหม่ เพราะความมั่นคงยุคใหม่ ไม่ใช่ความมั่นคงเรื่องเขตแดนหรือกำลังทหารอีกแล้ว และสิ่งสำคัญที่ต้องฝากถึงนายกรัฐมนตรีก็คือ สื่อสารประชาชนให้ดีกว่านี้ เพราะโควิด-19 ไม่ใช่ความผิดของประชาชน
และสุดท้าย น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ซึ่งลงพื้นที่ดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้สะท้อนถึงสิ่งที่ประชาชนจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน สร้างข่ายใยทางสังคมให้เข้มแข็ง รวมไปถึงการช่วยกันและกันในการส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
โภคิน พลกุล: โควิดคือเรื่องของมนุษยชาติ และคือโอกาสที่ประเทศต่างๆ จะสร้างอนาคตด้านสาธารณสุขร่วมกัน
กรณีโควิด 19 ก็เป็นตัวที่ทดสอบและก็เป็นความท้าทายอย่างมากต่อทุกองค์กร ทุกรัฐบาลในโลก ที่สำคัญที่สุดก็คือต่อพรรคการเมืองต่างๆ
พรรคเพื่อไทยนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมากนะครับ ไม่ใช่เราดูแลพี่น้องประชาชนในเรื่องความเป็นอยู่ การกินดีอยู่ดี แต่เราให้ความสนใจตั้งแต่แรกแล้วในเรื่องของสาธารณสุข ทำอย่างไรจะให้พี่น้องประชาชนนั้นมีสุขภาพอนามัยที่ดี
เราไม่ได้ทำเฉพาะในประเทศเท่านั้น ในการดำเนินงานต่างๆ ของพรรค เราประสาน เราติดต่อกับพรรคการเมืองอื่นๆ ในหลายประเทศทั่วโลก เราได้มีการไปมาหาสู่ เรามีการเชิญแม้แต่พรรคจากอเมริกาก็ดี หรือแม้แต่จีนก็ดี ซึ่งเป็นสองประเทศใหญ่ของโลก ก็ได้มาพบกับเรา ในประเทศยุโรป ก็มาโดยตลอดนะครับ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญค่อนข้างมาก
ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตการณ์เช่นนี้ขึ้น เราก็ประสานกับพรรคต่างๆ หลายพรรคทั่วโลกว่าท่านมีวิธีการรับมือ มีวิธีการต่อสู้ มีแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร
เมื่อเร็วๆ นี้เอง ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ประสานมาที่พรรคเรา แล้วก็บอกว่าโควิดเป็นศัตรูของโลก เป็นศัตรูของมนุษยชาติ มันไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง มันไม่มีพรมแดน มันไม่ได้เลือกเชื้อชาติศาสนาอะไรเลย ถ้าเราไม่ร่วมมือกันในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่บริหารประเทศ ก็คือพรรคการเมืองทั้งหลาย ถ้าไม่ร่วมมือกัน เราเอาไม่อยู่นะ เพราะว่ามันระบาดไปทั่ว และการระบาดนี้หยุดยั้งไม่ได้ง่ายๆ
เราก็คุยกันว่าแล้วจะทำอย่างไรกันดี ทางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็เสนอว่าเขาจะประสานพรรคอื่นๆ ทั่วโลก ขอเขาเป็นแกนกลาง แล้วก็ยกร่างจดหมายเปิดผนึกที่พรรคการเมืองต่างๆ ทั่วโลกจะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับวิกฤตโควิดในครั้งนี้ ซึ่งก็ได้ดำเนินการประสานกัน อ่านจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ปรับแก้กันแล้วก็ตกลงกันว่าในวันพฤหัสบดีที่ 2 เม.ย. ประมาณ 6 โมงเย็นของบ้านเรา ก็เป็นประมาณทุ่มหนึ่งของประเทศจีนนะครับ ทางจีนก็จะอ่านแถลงการณ์หรือจดหมายเปิดผนึกนี้ให้โลกได้รับทราบว่าพรรคการเมืองซึ่งเข้าใจเป็น 100 พรรคทั่วโลกได้ร่วมมือกันอย่างไร
สำหรับประเทศไทยนั้น พรรคที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนประสานมาก็มีอยู่หลายพรรค แต่พรรคที่เป็นพรรคหลักและปรากฏชื่อในแถลงการณ์ก็จะมีพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคหลักของฝ่ายค้าน
ทางพรรคเพื่อไทยเองก็ได้ประสานงานกันในพรรคว่า เนื่องจากว่าเราจะแถลงพร้อมๆ หรือต่อไปจากจีนเลยก็เป็นเวลาประมาณ 6 โมงเย็นเข้าไปแล้ว ก็อาจจะไม่สะดวกสำหรับสำนักข่าวต่างๆ เราก็เลยจะมาแถลงกันในวันศุกร์ที่ 3 (เม.ย.) คือวันรุ่งขึ้นประมาณ 11 โมงที่พรรค ซึ่งสาระสำคัญหลายอย่างในจดหมายเปิดผนึกนั้นผมคิดว่าค่อนข้างน่าสนใจและก็จะนำมาซึ่งความหวัง อนาคตของประเทศต่างๆ ร่วมกัน
ผมจะขออนุญาตอ่านสรุปสาระย่อๆ ในแถลงการณ์ หรือในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวนะครับ
ประเด็นแรกเลย เราจะยกย่องชมเชยผู้ที่อุทิศตนและปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชน ก็คือผู้ที่ทำงานด้านสุขภาพ ส่วนใหญ่
สอง เราจะสนับสนุนให้ทุกประเทศมีแผนฉุกเฉินและยุทธศาสตร์ที่จะต่อสู้กับโควิด-19 ตามเงื่อนไขของแต่ละชาติ และร่วมมือกันอย่างแข็งขันเพื่อควบคุมโรคและดูแลผู้ป่วย
สาม ก็คือการเน้นความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาชนและจิตอาสา ในแถลงการณ์เราบอกเลยว่าเราต้องปลดปล่อยศักยภาพของภาคประชาชนในการต่อสู้กับโควิด เพราะไปหวังภาครัฐหรือภาคธุรกิจอย่างเดียวไม่ได้ ภาคประชาชนนี่แหละคือกำลังหลัก
สี่ ก็คือว่าทุกประเทศต้องมีมาตรการและเป้าหมายที่จะปกป้องผู้ได้รับผลกระทบที่อ่อนแอและ SME แสดงว่าทุกคนตระหนักนะครับว่าคนที่อ่อนแอ คนที่หาเช้ากินค่ำ คนที่เป็นธุรกิจเล็กน้อยทั้งหลายรวมทั้ง SME ถ้าไม่ดูแลเขาก่อน มันจะไปไม่ได้
ประการต่อมาก็คือทุกประเทศต้องยกระดับการประสานระหว่างประเทศเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและห่วงโซ่อุตสาหกรรมและอุปทาน อันนี้ก็สำคัญมากเพราะเวลานี้มันเหมือนหยุดชะงักเหมือนกันหมด ถ้าไม่ร่วมมือกันมาดูปัญหาเศรษฐกิจมหภาคและก็ห่วงโซ่อุปทานด้วยกันนี่นะครับ จะเกิดปัญหาใหญ่โต
มีการเสนอให้ลด หรือยกเว้นภาษีอากร ในการค้าหรือการนำเข้าต่างๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการถดถอยของเศรษฐกิจโลก คือทำให้การค้ามันยังเดินไปได้และก็ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเราย้ำด้วยว่าการขนส่งระหว่างประเทศโดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์และวัสดุอุปกรณ์อื่นเพื่อต่อสู้กับโควิดนั้นต้องเปิดกว้าง และก็ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
ที่สำคัญประการนี้ ซึ่งก็เป็นข้อเสนอจากจีนและอยากให้ทั้งโลกได้ตระหนักร่วมกันและเดินร่วมกันก็คือว่าต้องตื่นรู้ที่จะร่วมกันสร้างประชาคมแห่งการแบ่งปันอนาคต เพื่อมนุษยชาติ
ทางจีนเขาพูดชัดเจนว่าเรามีโลกอยู่ใบเดียวที่เราอยู่ร่วมกัน เรากลับมามีความขัดแย้งเราทำสงครามกัน ทั้งที่ความจริงเรามีศัตรูร่วมกันมากมายหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น โควิด-19 นี่ก็เป็นตัวอย่างอันดีเลยนะครับ ถ้าเราไม่ร่วมมือกันมันก็เป็นไปไม่ได้
ในแถลงการณ์เราก็บอกว่า ก่อนจะไปสู่สมาคมแห่งการแบ่งปันอนาคตเพื่อมนุษยชาติในทุกๆ ด้าน เรามาเริ่มกันที่เราเอาโควิด-19 มาสร้างสมาคมแห่งการแบ่งปันอนาคตของการสาธารณสุขร่วมกัน คือมาดูแลคนทั้งโลกให้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้และมีการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
ประการต่อมาก็คือว่าต้องไม่เอาประเด็นสาธารณสุขที่ถูกต้อง และที่เราต้องร่วมมือกันดังที่กล่าวมาแล้วไปเป็นประเด็นการเมืองและการกล่าวหาซึ่งกันและกัน เช่น ใครเป็นคนสร้างไวรัส หรือประเทศใดจะทำลายประเทศใดด้วยไวรัส เรามองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ใช่เวลาเอาเรื่องสาธารณสุขมาเป็นการเมืองเพื่อทำร้ายทำลายกัน
ประการถัดมา ก็คือขอให้พรรคการเมืองทั้งโลกช่วยกันประสานงานอย่างใกล้ชิด เราอยากจะบอกว่าการทุ่มเทพลังทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับโควิดร่วมกันมันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
แล้วก็เรามองว่าปัญหาโควิด-19 เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงขณะหนึ่ง ในห้วงเวลาของมนุษยชาติ ในนั้นอาจจะเขียนให้เกิดความหวัง อย่างเช่น แสงอาทิตย์ย่อมจะสาดส่องหลังพายุใหญ่ ขอเพียงพวกเราทุกคนต่อสู้ร่วมกันด้วยความมุ่งมั่น และที่สำคัญคือ ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องข่าวลือ เป็นเรื่องเฟกนิวส์ ทั้งหลาย เราก็จะผ่านพ้นไปได้
ซึ่งในกรณีเหล่านี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ว่าประเทศข้าพเจ้าจะต้องมาก่อน หรือประเทศนั้นประเทศนี้ต้องมาก่อน แต่ทุกคนต้องทำเพื่อมนุษยชาติ ดังนั้นในพรรคเราก็คุยกันและเห็นว่าพรรคเพื่อไทยนอกจากจะต้องทำให้กับพี่น้องคนไทยเป็นหลักแล้ว เราต้องคำนึงถึงโลก คำนึงถึงมนุษยชาติโดยรวมด้วย คนไทยจะอยู่รอดประเทศเดียวไม่ได้ ถ้าเราไม่อยู่ร่วมกับโลกทั้งโลกอย่างสันติ อย่างเอื้ออาทรดูแลซึ่งกันและกัน แบ่งปันซึ่งกันและกัน ผมก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นทิศทางสำคัญของพรรคเพื่อไทย ในการที่เราจะ นำพาประเทศเราต่อไปในอนาคตครับ
วัฒนา เมืองสุข: รัฐต้องฟื้นเศรษฐกิจให้เร็ว และนิยามความมั่นคงใหม่
สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก เพราะฉะนั้นการฟื้นเศรษฐกิจของเราไม่อาจจะอาศัยประเทศใดประเทศหนึ่ง หรืออาศัยประชาคมโลกมาช่วยฉุดเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของเราเหลือตัวเดียวที่เราจะพึ่งพาตัวเองได้ก็คือการบริโภคภายใน เพราะเครื่องยนต์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน ล้วนอาศัยปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงวันนี้ก็คือ รัฐบาลจะทำอย่างไรให้คนไทยได้กลับมามีปฏิสัมพันธ์กันเหมือนเดิม แต่อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยด้วย
เพราะฉะนั้นการฟื้นเศรษฐกิจวันนี้มันต้องเริ่มจากคนตัวเล็กตัวน้อย เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาทำได้อยู่แล้ว รัฐบาลที่ต้องทำก็คือปล่อยให้ประชาชนได้ทำสิ่งที่เขาอยากจะทำคือการทำมาหากินเพื่อเริ่มต้นเศรษฐกิจใหม่
เพราะฉะนั้นหลักการสำคัญสำหรับพรรคเพื่อไทยที่เราจะเสนอมีอยู่ 3 ประเด็น
ประเด็นแรกคือ รัฐบาลต้องมีมาตรการความปลอดภัยเพื่อให้ประชาชนได้มีความมั่นใจว่าเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างปลอดภัย เราไม่ได้คิดเรื่องเศรษฐกิจมาก่อนความปลอดภัยนะครับ หมายความว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องใหญ่ โดยสร้างกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นี่เป็นเรื่องที่คุณหญิงสุดารัตน์ได้เสนอแล้วนะครับ
เรื่องที่สองคือรัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเร็ว ไม่ให้เศรษฐกิจมันฟุบนานไป โดยการใช้คนตัวเล็กตัวน้อยเป็นฐานรากของเศรษฐกิจ เพี่อค้ำยันเศรษฐกิจไทยไม่ให้ล่มสลาย ทีนี้การจะให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้กลับมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีอะไรบ้าง อย่างแรกก็คือการผ่อนคลายมาตรการ แต่ขอย้ำอีกครั้งนะครับ บนพื้นฐานของความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายผู้ขายและก็ฝ่ายผู้ซื้อ
อย่างที่สองคือการดูแลในเรื่องของทุน เพื่อให้คนตัวเล็กตัวน้อยเขาได้มีทุนมาทำเศรษฐกิจ
อย่างที่สามคือดูแลเรื่องหนี้สินของเขา การพักหนี้ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ได้เสนอแนวทางนะครับ
อย่างที่สี่ ก็คือเรื่องของการดูแลหนี้เสียที่จะเกิดขึ้นแน่นอน สถาบันการเงินจะมีหนี้เสียเกิดขึ้นแน่นอนนะครับ สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องดูก็คือธนาคารที่จะต้องดำรงอยู่ได้ การดำรงกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง คุณจะเพิ่มทุน คุณจะทำอะไรในภาวะนี้ต้องคิดล่วงหน้าไม่ใช่ถึงเวลามันเกิดเหตุการณ์แล้วค่อยมาแก้ปัญหามันไม่ทัน
และสิ่งที่จะต้องดูต่อไปคือดูสินค้าจำเป็นของประชาชน ไม่ให้เกิดการกักตุนเหมือนอย่างทุกวันนี้ อันนี้คือมาตรการเฉพาะหน้าที่ต้องดู
สำหรับมาตรการต่อไปคือมาตรการในอนาคต ที่รัฐบาลต้องดูว่าโลกข้างหน้า โลกทางเศรษฐกิจข้างหน้ามันเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์โดยสิ้นเชิง คำนิยามคำว่าความมั่นคงมันเปลี่ยนไปแล้วนะครับ มันไม่ใช่ความมั่นคงทางการทหาร เพราะความมั่นคงทางการทหารและการเมืองมันไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขนาดนี้ ตัวอย่างเช่น จีนกับสหรัฐฯ ทะเลาะกัน เกิดสงครามทางการค้า ก็ไม่ส่งผลกระทบกับโลกแบบนี้ การกระทบกระทั่งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี หรือในภูมิภาคอินเดียกับจีน มันไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแบบนี้เพราะคนเชื่อว่ามันเกิดปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือในโลก คนเชื่อว่ามันจบลงด้วยการเจรจาได้
แต่ความมั่นคงเรื่องของชีวิตมนุษย์ ความปลอดภัยจากสิ่งที่คุณมองไม่เห็น แล้วเราพูดกันไม่รู้เรื่อง เจรจากับโควิดไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผลกระทบทั้งโลก เราจะเห็นว่าเศรษฐกิจของโลกไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งนะครับ ทุกประเทศในโลกมันฟุบทันที เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดว่าเราจะมีปฏิสัมพันธ์อย่างไร เราจะทำการค้าการขายอย่างไร วันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องมองในอนาคตนะครับ ความมั่นคงทางด้านอาหาร ความมั่นคงทางด้านความปลอดภัยในชีวิตของมนุษย์ มันจะเป็นโอกาสของประเทศไทยเพราะว่าเรามีความพร้อม
สิ่งสำคัญต่อมาก็คือที่รัฐบาลต้องดูก็คือในเรื่องของการใช้งบประมาณ แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณอย่างมาถูกต้อง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเสนองบประมาณที่จะซื้อยานยนต์ยกพลขึ้นบก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเลย มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องใช้เลย รัฐบาลก็ยังทำในสิ่งนี้อยู่ แต่ถึงแม้จะถอนออกไปมันก็เหมือนกับสิ่งที่ทำมา คือมันต้องคิดตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องคิดต่อไปในอนาคตว่ารัฐบาลจะพาประเทศไปสู่ทิศทางไหน อะไรคืออนาคต วันนี้ได้เห็นแล้วนะครับ โรคระบาดครั้งนี้มันได้เปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์โดยสิ้นเชิง เราได้เห็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่ถือว่าเป็นราชสีห์ วันนี้มาหาซื้อเครื่องกรองอากาศกับหน้ากากอนามัย วันนี้มันเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมด
สิ่งสุดท้ายที่อยากจะบอกกับรัฐบาลก็คือท่านนายกรัฐมนตรีต้องพูดจากับประชาชนให้ดีกว่านี้ อย่าได้ข่มขู่ประชาชน ขอให้เข้าใจว่าโควิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของประชาชน การระบาดครั้งแรกที่รุนแรงเกิดขึ้นจากสนามมวยลุมพินี ก็เป็นเรื่องของกองทัพบกที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี การระบาดครั้งสองที่รุนแรงไปต่างจังหวัดก็เกิดจากรัฐบาลไปสั่งปิดกิจการแต่ไม่ได้มีมาตรการรองรับ คนอดตายก็ต้องกลับบ้าน
เพราะฉะนั้นวันนี้ที่มันเกิดการระบาดอย่างใหญ่ในประเทศไทยเป็นความผิดของรัฐบาลทั้งสิ้น แล้วสิ่งที่ผมเสนอวันนี้ไม่ได้ขอให้รัฐบาลช่วยประชาชนนะครับ การที่ให้ประชาชนออกมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้คือเขากำลังจะช่วยรัฐบาล เพราะเมื่อประชาชนมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจรัฐบาลจะเก็บภาษีได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะฝากท่านนายกฯ ให้ตระหนักเรื่องเหล่านี้ ท่านจะได้เปลี่ยนทัศนคติเพราะประชาชนเป็นคนที่ค้ำยันรัฐบาล ถ้าประชาชนไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รัฐบาลก็ต้องล่มสลาย ผมให้กำลังใจพี่น้องประชาชนให้ผ่านไปได้นะครับ เราจะผ่านไปด้วยกัน ขอบพระคุณครับ
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ: ในยามวิกฤตแบบนี้ ทุกคนคงจะรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้
ในยามวิกฤตแบบนี้ ทุกคนคงจะรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ วันนี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว ภาคเอกชน พี่น้องประชาชนด้วยครับ ต้องร่วมมือกัน รวมไปถึงภาคประชาสังคม ถ้าทุกฝ่ายร่วมกันแบบนี้ เราจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน
ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในชาติ ถือเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลต้องเปิดใจกว้างในการรับฟังข้อขัดข้อง ข้อเสนอแนะของฝ่ายค้าน ภาคประชาชน ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย
ปัญหาส่วนรวมที่สำคัญอันดับต้นๆ ในวันนี้ ผมคิดว่ามันคือเรื่องของการสื่อสาร เราต้องยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เป็นของรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว แต่ก็เป็นปัญหาที่ผมคิดว่าทุกคนต้องช่วยกันแก้ รัฐบาลเองต้องยอมรับว่าการสื่อสารข้อมูลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมันมีความสับสน ส่วนพี่น้องประชาชนเองนั้น ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาล ก็คือการรวมศูนย์ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด เพื่อเผยแพร่และสื่อสารตรงสู่พี่น้องประชาชน
ส่วนพี่น้องประชาชนเองก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบในการกลั่นกรองและตรวจสอบข้อมูลให้มั่นใจว่าเชื่อถือได้เสียก่อน ก่อนที่จะส่งต่อให้กับคนที่เรารัก ผมเชื่อว่าถ้าช่วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน สังคมจะหยุดตื่นตระหนก แล้วก็เราก็สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางวิกฤตได้อย่างปลอดภัย
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นต้องมาจากพวกเราทุกคน หากพี่น้องประชาชนร่วมกันรับผิดชอบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราจะผ่านวิกฤตนี้ร่วมกันไปได้ วันนี้เราต้องถามตัวเราเองว่าทุกท่าน ท่านรู้จักหน้าที่ของตัวเองดีหรือยัง ถ้ายังก็ต้องรีบทำความเข้าใจกับวิธีการดำรงชีวิตที่ถูกต้องและปลอดภัยในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลตัวเองให้ถูกสุขลักษณะ การปฏิบัติตนต่อส่วนรวมอย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ ทั้งหมดคือกุญแจของความสำเร็จในการหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส
ส่วนภาครัฐ รัฐบาลเองก็ต้องกำหนดมาตรการต่างๆ ที่ทันต่อเหตุการณ์ แล้วที่สำคัญต้องสร้างผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด แต่ก็ต้องยังยึดวัตถุประสงค์หลักในการป้องกันแพร่ระบาดให้สัมฤทธิ์ผล
ภาคเอกชนเอกชนเองก็ถือเป็นส่วนสำคัญในการที่จะช่วยทำให้เราฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ผมยกตัวอย่างครับ วันนี้ Work from Home เราต้องใช้อินเทอร์เน็ต ภาครัฐบวกภาคเอกชน Operator ต่างๆ ภาครัฐเองมาร่วมมือกัน ในการที่จะชดเชยแล้วก็เยียวยา แล้วก็ทำให้ค่าใช้จ่ายของพี่น้องลดลง สิ่งเหล่านี้แหละครับจะเกิดประโยชน์
ในส่วนของการค้าขายตามปกติ แน่นอนครับ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหารปิดตัว เจ้าของที่เองก็สามารถที่จะมีส่วนร่วมได้ ในการที่จะพิจารณาลดค่าเช่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ในไต้หวัน เราจะเห็นอาสาสมัครส่วนหนึ่งเป็นคนหนุ่มสาว อาสาที่จะเอาอาหาร อาสาที่จะเอาของจำเป็น นำเอาของจำเป็นทั้งหลายไปให้กับผู้สูงอายุซึ่งมีความยากลำบากในการที่จะออกนอกบ้าน
ผมว่าถึงเวลาแล้วครับที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ร่วมกัน รัฐบาล ฝ่ายค้าน ภาครัฐ พ่อค้า ประชาชน ทุกหมู่เหล่า หากเราสามารถที่จะร่วมมือ จับมือร่วมกัน ทำงานร่วมกัน รับฟังซึ่งกันและกันด้วยความเอื้ออาทรในฐานะพี่น้องร่วมชาติ พรรคเพื่อไทยเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างปลอดภัยและราบรื่นทุกคนครับ
คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์: ถ้าจัดการยืดเยื้อ คนไทยจะสาหัส
วันนี้ครบ 7 วันแล้วของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งไทยยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่หลักร้อยอยู่ทุกๆ วันเลย ดิฉันขอย้ำว่า เมื่อนายกฯ เลือกที่จะใช้ยาแรง คือเลือกที่จะใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แล้ว มันเสมือน ‘การลงมีดผ่าตัด’ จำเป็นต้องจบเร็ว ถ้ายืดเยื้อเป็นเดือน อาการของประเทศไทย อาการประชาชนชาวไทยจะสาหัส ทั้งการควบคุมโรคไม่ได้ ทั้งสภาพเศรษฐกิจก็จะทรุดลงอย่างหนัก
ดิฉันและพรรคเพื่อไทย เราได้เสนอมาตรการ ‘ยุทธการ 21 วันสยบ COVID’ มาตั้งแต่วันที่ 17 เดือนมีนาคม ซึ่งถ้ารัฐบาลยอมทำมาตั้งแต่ในวันนั้น วันที่ 7 เมษาฯ ที่จะถึงนี้ ก็จะครบ 21 วันแล้ว เราก็จะสามารถสยบการระบาดของโรคลงไปได้ เรียกว่า maintain ได้ รัฐบาลก็จะสามารถผ่อนผันมาตรการต่างๆ ให้คนกลับมาสามารถทำมาหากินได้ เพราะหัวใจของการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคนั้น ดิฉันได้เน้นย้ำหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่เพียงปิดสถานบริการต่างๆ แต่ต้องหยิบหาผู้ติดเชื้อเข้าไปในระบบให้ได้
เราสามารถที่จะหาผู้ติดเชื้อได้มากเท่าไหร่ เร็วเท่าไหร่ นั่นแปลว่าประชาชนที่อยู่ข้างนอกปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ระบบการควบคุมโรคจึงจะมีประสิทธิภาพ
มาตรการในการที่จะค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ เขาทำกันหลายประเทศ ไม่ว่าจะเกาหลีใต้, ไม่ว่าจะจีน ไม่ว่าจะไต้หวัน ทุกประเทศเขาทำ แล้วเขาสามารถสยบโรคได้ แต่ประเทศไทยของเรา เราตรวจคนที่ติดเชื้อโควิดน้อยมาก เมื่อเทียบกับทุกประเทศ แม้แต่ในอาเซียนด้วยกันในหลายประเทศ เราก็ยังตรวจได้น้อยมาก เกาหลีตรวจถึง 300,000 คน ดิฉันบอกแล้วว่าใช้งบไม่เยอะ สมมติว่าถ้าเราต้องตรวจ 100,000 คน งบประมาณใช้แค่ 200-300 ล้านเท่านั้นเอง คุ้มมาก ปิดอย่างเดียวไม่พอ ต้องค้นหาผู้ติดเชื้อ นำผู้ติดเชื้อเข้าระบบได้ มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาจึงต้องชัดเจน คิดให้รอบด้าน ให้ครบถ้วน ไม่ใช่สักแต่ทำ ประกาศออกมาทีละมาตรการๆ แล้วก็ทำให้ไปเกิดปัญหาในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม
เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.) ท่านนายกรัฐมนตรียังจะบอกว่าถ้าเชื้อยังไม่หมดก็จะให้ปิดรถโดยสารสาธารณะทั้งหมด ไม่ว่าจะรถไฟ ไม่ว่าจะรถเมล์ แล้วสถานที่ทำงานยังเปิดอยู่ จะให้คนเดินทางไปทำงานอย่างไรคะ นี่คือปัญหาของการที่ไม่คิดให้รอบคอบแล้วออกมาตรการที่ครบถ้วน
ตัวเลขผู้ติดเชื้อกระจายไปทั้งประเทศ แล้วกราฟดิ่งขึ้นเลย สูงลิ่วเลย แม้แต่หลังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กราฟก็ยังดิ่งหัวขึ้นอยู่ นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพลาดในมาตรการที่คิดไม่รอบ คิดไม่ครบกระบวนการ
ดิฉันหวั่นใจกับแนวคิดของท่านนายกรัฐรัฐมนตรี ที่ท่านออกมาพูดว่าถ้า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำแล้ว แล้วยังควบคุมโรคไม่สำเร็จ ท่านจะขยายการใช้อย่างไม่มีกำหนด นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องหยุดทำมาหากินอย่างไม่มีกำหนด โรคระบาดก็คุมไม่ได้ เศรษฐกิจก็จะสาหัสมากยิ่งขึ้น ท่านนายกฯ หยุดโทษประชาชน แล้วลงมือปรับประสิทธิภาพการทำงานของตัวเองได้แล้ว
อย่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาเพียงเพื่อบังคับประชาชน ให้หยุดทำมาหากินอย่างเดียว มันจะไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้
ดิฉันอยากจะกราบวิงวอนให้ท่านนายกฯ ได้โปรดพิจารณาข้อเสนอ “ยุทธการ 21วัน สยบ COVID” ที่ดิฉันและพรรคเพื่อไทยเราได้นำเสนอ ซึ่งถ้าท่านทำตั้งแต่วันนั้น สถานการณ์ก็จะดีขึ้น ประชาชนก็จะปลอดภัยมากขึ้น และรัฐบาลก็จะสามารถผ่อนปรนมาตรการการปิดกิจการต่างๆ ปล่อยให้คนกลับมาทำมาหากินได้บ้าง โดยเข้มงวดในเรื่องของสุขอนามัย SOCIAL DISTANCING การใช้แมสก์ การอยู่ร่วมกันจำนวนไม่มาก รวมทั้งการไม่ใช้ของร่วมกัน รวมทั้งมาตรการสุขอนามัยอื่นๆ แบบที่ไต้หวัน แบบที่เกาหลี แบบที่จีน เขาทำสำเร็จแล้ว และคนเริ่มมาใช้ชีวิตปกติได้ในระดับหนึ่ง เริ่มเปิดร้าน เริ่มค้าขายได้ในระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจมันหนักจนเกินความสามารถของรัฐที่จะแก้ไข
ดิฉันอยากจะขอร้องทุกฝ่ายว่าวันนี้ ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตแล้ว เราต้องวางการเมืองลง หยุดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หยุดแบ่งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลไว้ก่อน ในยามวิกฤตแบบนี้ เราในฐานะนักการเมือง เราในฐานะตัวแทนประชาชน ต้องร่วมมือกันทำงาน เพราะชีวิตของประชาชนคนไทยสำคัญที่สุด
ที่เราเรียกร้องมาตลอด การระบาดของโควิดทำลายทั้งชีวิต ทำลายทั้งสุขภาพจิต ทำลายทั้งความสัมพันธ์ของคนในสังคม และที่สำคัญก็ทำลายทั้งเศรษฐกิจด้วย ดังนั้น ต้องจบเร็ว จบเร็ว คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจฟื้นเร็ว