เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.มักกะสัน 4 นาย เดินทางมาที่ สำนักงานคณะก้าวหน้า อาคารไทยซัมมิท ชั้น 5 ขณะที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า กำลังแถลงข่าว “ข้อเสนอต่อสังคมไทย กรณีประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมกรณีขบวนเสด็จ” โดยอ้างว่า ดูแลความสงบเรียบร้อย แต่ไม่ได้ขัดขวางหรือแจ้งข้อกล่าวหากับทางคณะก้าวหน้าแต่อย่างใด ระบุเพียงว่า มาตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา รวมถึงหากจะมีการดำเนินคดี ก็ต้องรอฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาด้วยเช่นกัน
'ปิยบุตร' เสนอ 5 ข้อ แก้สถานการณ์การเมือง
ทั้งนี้ ปิยบุตร แถลงว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ตามมาตรา 11 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น ไม่ชอบธรรม เพราะไม่มีเหตุเพียงพอ ซึ่งวิญญูชนสามารถใช้ดุลย์พินิจพิจารณาได้เองว่า การชุมนุมของนักเรียนนิสิตนักศึกษาเยาวชน ที่มีการตั้งเวทีปราศรัย การผูกโบว์ขาว ยืนชูสามนิ้ว หรือเดินขบวนจากถนนราชดำเนินไปทำเนียบรัฐบาลนั้น มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า 1) มีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบกับความมั่นคงของรัฐ 2) กระทบความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลจริงหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 อย่างเป็นเงื่อนไขให้ประกาศใช้มาตรา 11 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ แต่การชุมนุมที่ผ่านมา ไม่ได้เข้าข่ายนี้
ดังนั้น ตนจึงคิดว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะซื่อสัตย์กับตัวเองบ้าง ในการเลือกมาตรา 11 ที่เป็น 'ยาเเรง' นั้นต้องยอมรับว่า เป็นเพราะไม่พอใจหรือไม่สบายใจกับข้อเสนอปฏิรูปสถาบันของผู้ชุมนุม ที่อาจกระทบอำนาจของพลเอกประยุทธเอง และปล่อยให้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไป นานวันเข้าพลเอกประยุทธ์ ก็จะฉวยโอกาสใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนี้รัฐประหารยึดและรวบอำนาจเข้าสู่ตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นการทำรัฐประหารในระบบ โดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญหรือใช้กำลังทหารยึดอำนาจรัฐ
สำหรับ กรณี 'ขบวนเสด็จ' ที่มีการออกหมายจับเอกชัย หงส์กังวาน และบุญเกื้อหนุน เป้าทอง นักกิจกรรม ทางการเมือง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 ว่าทั้ง 2 คนกระทำการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง มีโทษสูงถึงจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างน้อย 16 ปี และไม่เคยมีการใช้มาตรานี้มาก่อน
โดยเห็นว่า การกระทำของทั้ง 2 คน ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิด ว่าด้วยการ 'หน่วงเหนี่ยวหรือข่มขืนใจ' และยังต้องดูเจตนา ซึ่งคณะราษฎร 63 กำหนดการชุมนุม ก่อนที่จะมีหมายกำหนดการการเสด็จพระราชดำเนิน และตัดสินใจเคลื่อนย้ายขบวนก่อนเวลา 14 นาฬิกา เพราะทราบว่าขบวนเสด็จจะผ่านถนนราชดำเนินในเวลา 16.00 น. ชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งใจหรือไม่มีเจตนาในการขับเคลื่อนขบวนเสด็จ แต่ตรงกันข้ามคือพยายามหลีกเลี่ยงอย่างถึงที่สุด และในส่วนขบวนเสด็จของพระราชินีนั้น ผู้ชุมนุมหลายคนไม่ทราบว่าจะมีขบวนเสด็จผ่าน ทําเนียบรัฐบาล บริเวณแยกนางเลิ้งอีกด้วย
ปิยบุตร กล่าวด้วยว่า จากข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 2 - 3 วันที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่ตนคิดว่าน่ากังวลและไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีกคือ ผู้กำกับภาพยนตร์ต้องการให้ภาพยนตร์เรื่อง '6 ตุลา 2519' กลับมาฉายภาค 2 อีก โดยเอาประเด็นเรื่องขบวนเสด็จพระราชดำเนินมาใช้เพื่ออ้างหรือไม่ จึงฝากสื่อมวลชนและคนไทยที่มีเหตุผลและสติสัมปชัญญะ ต้องช่วยกันยับยั้งไม่ให้ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้สำเร็จ
"ไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เราควรมีสถาบันเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ เพื่อเป็นมรดกตกทอดในทางประวัติศาสตร์ มิใช่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ใครคนใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นำมาใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหาร หรือใช้เป็นข้ออ้างในการให้ประชาชนเข่นฆ่ากันเอง" ปิยบุตร กล่าว
พร้อมฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและข้าราชการ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ว่า นอกจากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาแล้ว อีกสถานะหนึ่งคือ เป็นมนุษย์ เป็นประชาชน จึงไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร ที่คนควบคุมเครื่องจักรนี้ สั่งให้ทำอะไรแล้วต้องทำ โดยแนะนำคิดด้วยจิตวิญญาณเสรีของมนุษย์ ว่าสิ่งที่ทำอยู่ผิดหรือถูกด้วย
ปิยบุตร มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขสถานการณ์ 5 ข้อคือ
1.) ต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯทันที และยุติการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมทั้งหมดทันที
2.) จะต้องประกันในกระบวนการยุติธรรมให้กับผู้ที่ถูกจับกุม อย่างน้อยต้องรู้ว่าโดนข้อหาอะไร คุมขังไว้ที่ไหน และมีสิทธิ์ในการมีทนายความ มีญาติมิตรพี่น้องได้เข้าเยี่ยม
3.) พล.อ.ประยุทธ์ ควรเสียสละเพื่อประเทศชาติ ด้วยการออกจากตำแหน่งไม่ว่าจะลาออกหรือยุบสภาก็ตาม
4.) เรียกร้องศาลหรือองค์กรตุลาการที่เป็น "ปราการด่านสุดท้าย" ที่จะช่วยพิทักษ์รักษาสิทธิมนุษยชนให้ประชาชน
5.) พยายามช่วยกันเปิดพื้นที่ปลอดภัยในการอภิปรายถกเถียงเรื่องสถาบันฯ อย่างจริงใจและตรงไปตรงมา เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่คู่กับประชาธิปไตยนั้นเอง
ปิยบุตร กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือประเทศของคนไทยทุกคนไม่ใช่ประเทศของใครคนใดคนหนึ่ง ร่วมมือกันสร้างประเทศไทยที่มีอนาคต อย่างน้อยๆคนรุ่นก่อนหน้าตนหรือคนรุ่นตน อาจจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน แต่คนรุ่นใหม่จะต้องอยู่ในโลกใบนี้ไปอีกนาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ นักเรียนนิสิตนักศึกษาที่ออกมาชุมนุม ไม่ต้องไปนั่งสงสัยว่าใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่ที่ออกมาชุมนุมถึงขนาดนี้ เพราะว่า คนรุ่นก่อนตนรวมถึงคนรุ่นตน ส่งสังคมที่แย่แบบนี้ให้กับเขานั่นเอง เขาถึงอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครอยากมาลำบากชุมนุม ไม่มีใครอยากมาเสี่ยงที่จะต้องถูกดำเนินคดี แต่ที่ตัดสินใจเสี่ยง ที่จะออกมาเพราะเห็นแล้วว่า ปล่อยบ้านเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้จึงต้องออกมาเรียกร้อง
"เราส่งต่อสังคมที่แย่ให้เขาไปแล้ว ยังมีโอกาสร่วมมือกับเขา เพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่าให้กับประเทศไทยกับลูกหลานของเรา" ปิยบุตร กล่าว