พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการดูแลเกษตรกร รวมถึงมาตรการการผ่อนชำระหนี้สินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้มีการช่วยเหลือไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่จะทยอยดำเนินการต่อไป โดยทุกอย่างต้องเป็นไปตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ และอยู่ในกรอบวงเงินที่กำหนด จึงอยากอธิบายให้เกษตรกรเข้าใจด้วยว่าการใช้งบประมาณบางอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือมากเกินไปก็จะทำให้หลายอย่างมีปัญหา รวมถึงต้องฝากถึงนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆด้วย โดยเฉพาะนโยบายการหาเสียงต่างๆ ต้องระมัดระวังและศึกษาเรื่องเหล่านี้ด้วย ซึ่งการไปสัญญาอะไรกับใครบางครั้งผิดกฎหมาย จึงอยากให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่อยากลงสมัครรับเลือกตั้ง ไปศึกษากฎหมายใหม่ๆ ด้วย เพราะหากไปสร้างการรับรู้ที่ผิดๆ กับประชาชนก็จะเกิดปัญหาในวันหน้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นนายกฯ รองนายกฯ หรือใครก็ตามไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดและไม่ได้เป็นนายคน แต่ทั้งหมดเป็นการแบกความรับผิดชอบ แบกจิตสำนึกในการทำเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตำแหน่ง ถือเป็นหัวโขนที่สวมไว้ในการเป็นนายกฯ และรัฐบาล ดังนั้นเมื่อถอดหัวโขนออกมาเราก็คือประชาชน จึงรู้สึกเหมือนที่ประชาชนรู้สึกว่ามีความเดือดร้อนเรื่องอะไร จะดูแลเกษตรกรและคนยากจนในอาชีพอื่นๆ อย่างไร ซึ่งยังมีหลายอาชีพที่ยังมีรายได้น้อย จึงขออย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร และการทำอะไรต้องระมัดระวังกฎหมายเกี่ยวงบประมาณ และพ.ร.บ.การเงินการคลังด้วย
ครม.ไฟเขียวพักหนี้เกษตรกร 3.8 ล้านคน 3 ปี
ขณะที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบประมาณกลางปี 2561 วงเงิน 2,764 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนโครงการลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรรายย่อย ในเดือน ส.ค.- ก.ย.2561 ซึ่งโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยลูกค้า ธ.ก.ส. โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ส.ค.2561 –31 ก.ค.2562 จะต้องใช้เงินอุดหนุนโครงการจำนวน 16,344 ล้านบาท
โดยที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติเงินเพียง 2 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2561 ที่เหลืออีกอายุการดำเนินโครงการอีก 10 เดือนของโครงการนี้ วงเงิน 13,580 ล้านบาท กระทรวงการคลังจะพิจารณาว่าจะใช้เงินงบประมาณจากที่ไหน หรือ อาจเป็นงบประมาณปกติของปีงบประมาณ 2562
ด้าน นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดของโครงการที่ ครม.เห็นชอบจำนวน 2 โครงการเพื่อลดภาระหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้คือ 1.โครงการขยายเวลาชำระหนี้เงินต้นให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) จำนวน 3.81 ล้านคน โดยขยายเวลาชำระเงินต้นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2561 - 31 ก.ค.2564 โครงการนี้เป็นโครงการสมัครใจ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมดครงการต้องแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการภายใน 31 ธ.ค.2561
สำหรับโครงการขยายเวลาชำระหนี้เงินต้น ระยะเวลา 3 ปี แต่มีเงื่อนไขต้องชำระดอกเบี้ยอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือในกรณีที่มีหนี้เงินกู้เป็นภาระหนัก ให้ดำเนินการตามโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขอฝ่ายสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพตามวิธีปฎิบัติปกติของ ธ.ก.ส. โดย ธ.ก.ส.จะรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง
2.โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยลูกค้า ธ.ก.ส. โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ส.ค. 2561 – 31 ก.ค. 2562 โดยรัฐบาลชดเชย ดอกเบี้ยเงินกู้แทนเกษตรกรให้กับในอัตราร้อยละ 2.50 ต่อปี และ ธ.ก.ส รับภาระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี ของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของเกษตรกร โดยโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปีจะลดให้เกษตรกรทุกรายในส่วนของเงินกู้ 300,000 บาท ส่วนเงินต้นที่เกษตรกรกู้ส่วนที่เกิน 300,000 บาทจะคิดดอกเบี้ยในอัตราปกติ ซึ่งโครงการนี้จะครอบคลุมเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 10 ล้านคน
นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ภายหลังจากโครงการพักชำระหนี้และลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรสมาชิกธ.ก.ส.ผ่านความเห็นชอบจากครม. ในส่วนของเงินอุดหนุนที่ ธ.ก.ส.จะช่วยเหลือเกษตรกรร้อยละ 0.50 ครม.เห็นชอบให้ ธ.ก.ส แยกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการทั้ง 2 นี้ออกเพื่อเป็นการดำเนินการตามธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account - PSA) เพื่อการติดตามและประเมินผลสัมฤิทธิ์ของโครงการ ส่วนสัปดาห์หน้ากระทรวงเกษตรฯ จะนำแนวทางการจัดทำแผนฟื้นฟูของกระทรวงเกษตร เข้าเสนอ ครม.เพื่อช่วยเหลือและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรแบบยั่งยืนและไม่กลับมาเป็นหนี้อีก