ภายหลังเกิดเหตุโดรนสหรัฐฯ ถูกอิหร่านยิงตก ในวันที่ 20 มิถุนายน โดยกองทัพสหรัฐฯ อ้างว่าโดรนดังกล่าวถูกยิงขณะบินอยู่ในน่านฟ้าสากล ห่างจากเขตแดนอิหร่านอย่างน้อย 34 กม. ขณะที่อิหร่านอ้างว่าโดรนดังกล่าวรุกล้ำน่านฟ้าอิหร่าน และสหรัฐฯ พยายามสร้างข้ออ้างบุกอิหร่าน
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ว่า "อิหร่านทำพลาดครั้งใหญ่ซะแล้ว!"
ก่อนที่จะกล่าวย้ำคำเดิมอีกครั้งผ่านสื่อในทำเนียบขาว 12.33 น. (23.33 น. ตามเวลาไทย) เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่และเลวร้ายมาก พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ มีหลักฐานว่าโดรนที่ถูกยิงตกบินอยู่ในน่านฟ้าสากล
เมื่อสื่อถามว่าสหรัฐฯ จะตอบโต้เหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างไร จะเกิดสงครามหรือไม่ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบเพียงว่า “เดี๋ยวก็รู้”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์เดียวกันนี้ ทรัมป์ได้พูดด้วยท่าทีที่อ่อนลงว่า นายพลหรือใครสักคนพลาดพลั้งยิงโดรนดังกล่าวตก และเป็นเคราะห์ดีที่ไม่มีคนขับอยู่ในโดรน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์คงเปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่มาก
“ผมมีลางสังหรณ์ ผมอาจจะผิด หรืออาจจะถูกก็ได้ แต่ผมสังหรณ์ถูกบ่อยอยู่นะ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดจากใครบางคนที่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมคิดว่าเขาทำพลาด แล้วผมก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศอิหร่านทำผิดพลาด แต่เป็นข้อผิดพลาดจากใครบางคนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของประเทศนั้น” ทรัมป์กล่าวพร้อมเสริมว่ายากจะเชื่อว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำโดยเจตนา แต่เป็นการกระทำที่เกิดจากการขาดสติ และปัญหานี้เคลียร์กันได้
ทั้งนี้กองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่าโดรน RQ-4a โกลบอลฮอว์ก ที่ถูกยิงตกนั้นมีมูลค่าประมาณ 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,396 ล้านบาท)
ความกังวลก่อตัวรุนแรงขึ้นว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างทั้งสองชาติ หลังสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุการโจมตีเรือบรรทุกเชื้อเพลิง ซึ่งสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเป็นฝีมืออิหร่าน และในภายหลัง วันที่ 18 มิถุนายน สหรัฐฯ เพิ่งส่งทหารอเมริกัน 1,000 นายไปประจำในตะวันออกกลางด้วยชี้ว่าเป็นการป้องกันตัวเอง
ภายหลังทวีตของทรัปม์เผยแพร่ได้หนึ่งชั่วโมง จาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้แสดงความเห็นโต้ตอบบนทวิตเตอร์ว่า สหรัฐฯ พยายามก่อการร้ายทางเศรษฐกิจกับอิหร่าน อีกทั้งยังรุกล้ำเขตแดนของอิหร่าน และจะนำเรื่องนี้ไปยื่นต่อสหประชาชาติ
"เราไม่ต้องการสงคราม แต่จะปกป้องน่านฟ้า ผืนดิน และน่านน้ำของเราอย่างสุดกำลัง เราจะนำเรื่องเหตุรุกรานครั้งล่าสุดไปยื่นกับยูเอ็น และแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ โกหกเรื่องเขตน่านน้ำสากล" ซารีฟ ทวีต
ในจดหมายถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และอังตอนีอู กูแตรึช เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่าอิหร่านประท้วงต่อการกระทำยั่วยุและเป็นอันตรายของกองทัพสหรัฐฯ ที่ทำต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
สหรัฐฯ อ้างว่าโดรนดังกล่าวถูกยิงตกที่พิกัด 25°57'42"N 56°50'22"E ในน่านฟ้าสากล ขณะที่อิหร่านยืนยันว่ายิงโดรนตกในพิกัด 25°59'43"N 57°02'25"E ในน่านฟ้าอิหร่าน ขณะอยู่ในโหมดพรางตัว
ล่าสุด วันที่ 21 มิถุนายน อับบอสเซ อะรักห์จี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน กล่าวกับมาร์คุส ไลต์เนอร์ เอกอัครราชทูตสวิตเซอร์เลนด์ ว่าอิหร่านมีหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าโดรนดังกล่าวบุกรุกน่านฟ้าอิหร่าน
"กระทั่งซากชิ้นส่วนของโดรนบางชิ้นก็ถูกเก็บกู้มาจากน่านน้ำอิหร่าน" อะรักห์จี กล่าวกับทูตสวิส
ทั้งนี้สวิตเซอร์แลนด์เป็นตัวแทนเจรจากิจการสหรัฐฯ ในอิหร่านมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2019 หลังสหรัฐฯ ถอนตัวทูตทั้งหมดออกจากอิหร่านในเดือนมีนาคม
ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยทันทีจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คือการที่ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นเกือบ 5.4 เปอร์เซ็นต์ ภายในวันเดียว ไปอยุ่ที่ 56.95 ดอลลาร์สหรัฐ หลังทรัมป์ทวีตว่า "อิหร่านทำพลาดครั้งใหญ่ซะแล้ว!"
การบินเองก็ได้รับผลกระทบ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ยังสั่งห้ามเที่ยวบินพาณิชย์บินเหนือน่านฟ้าอิหร่านจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ หรือเอฟเอเอ ชี้ว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นผลจากกิจการทางการทหารและความตึงเครียดในภูมิภาคที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเที่ยวบินของพลเรือนสหรัฐฯ ที่อาจถูกระบุตัวตนผิดพลาด
นอกจากนี้ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ยังรายงานว่าในช่วงค่ำวันที่ 20 มิถุนายน เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ หลายราย ระบุว่าในทีแรกประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับรองคำสั่งโจมตีอิหร่านหลายเป้าหมายด้วยกัน ก่อนจะมีการระงับคำสั่งขณะที่เครื่องบินขึ้นแล้ว และเรือก็อยู่ในตำแหน่งรบ แต่ยังไม่มีมิสไซล์ถูกยิง ทั้งนี้ ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าประธานาธิบดีทรัมป์เกิดเปลี่ยนใจ หรือว่ากองทัพเกิดเปลี่ยนแผนด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ แหล่งข่าวของนิวยอร์กไทมส์ ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของกองทัพยังรอโจมตีอยู่จนถึงช่วงหนึ่งทุ่ม (หกโมงเช้าตามเวลาไทย) อีกทั้งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นการยกเลิกคำสั่งถาวรหรือชั่วคราว
ที่มา: CNN / BBC / FT / NDTV / CNBC / Business Times / The New York Times / AFP
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: