“ถ้ากฎหมายเปลี่ยน ทัศนคติคนมันเปลี่ยนแน่นอน”
“เลิกสอนซะทีว่ามันคือยาเสพติด อย่างรุ่นผมโตมากับคำว่ากัญชาเป็นยาเสพติด และผมก็มองมันเป็นสิ่งไม่ดี แล้วพ่อ (ลุงตู้) ผมดูดกัญชา พูดตรงๆนะตอนนั้นผมอาย ที่มีพ่อดูดกัญชา เพราะผมเรียนมาอย่างนั้น”
“บางเคสที่มาปรึกษาก็รู้ว่าต้องทำผิด แต่เขายอมเสี่ยงเพื่อให้คนในครอบครัวมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็มีเยอะที่ถูกจับไป แล้วถูกสังคมโจมตี พวกคุณไม่รู้หรอกว่าบางคนเขาไม่มีเงิน แล้วจะให้เขาซื้อยาดีๆมาได้อย่างไร”
บางสนทนากับ ‘ต้นน้ำ-นิยมาภา’ ทายาทบิดาแห่งวงการกัญชาไทย ผู้รับไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อผลักดันการปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญให้การปลดล็อกเดินหน้าต่อไปได้ คืออดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ สายปราบปราม อย่าง ‘ลุงตู้’ หรือ ‘บัณฑูร นิยมาภา’ บิดาแห่งวงการกัญชาไทย คือผู้ขับเคลื่อนความก้าวหน้า ‘กัญชาทางการแพทย์’ ผู้ลาลับจากโลกใต้กฎหมายไทยที่ยังไม่เสรี ในวัย 64 ปี
แต่กระบวนการทางความคิดของลุงตู้ ยังคงดำเนินต่อไปโดยทายาทและผองเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ในการช่วยเหลือจากคนสู่คน เพื่อผ่อนเบาภาระค่าใช้จ่ายสร้างทางเลือกการรักษา โดยเฉพาะช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน
ด้วยประการทั้งปวง ‘วอยซ์’ ได้สนทนากับ ‘ต้นน้ำ-นิยมาภา’ ทายาทผู้สืบทอดเจตนารมณ์ สานต่อภารกิจเผยแพร่ความรู้สู่ภาคประชาชน เป็นอีกสะพานช่วยชีวิตผู้คนจาก ‘กัญชา’ โดยมีวิสาหกิจชุมชนวัดจอมทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นศูนย์บัญชาการให้ความรู้และช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ทางเลือก
สำหรับพืชพรรณที่ยังต้องห้ามในสังคมไทยนี้ ‘ต้นน้ำ’ เปรียบเปรย ‘กัญชา’ เสมือนต้นไม้หนึ่งต้น ขึ้นอยู่กับว่าจะบูรณาการใช้มันด้วยวัตถุประสงค์ใด ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีมันก็จะเป็นโทษมากกว่าคุณประโยชน์ ดังนั้นสิ่งที่ลุงตู้ต่อสู้มาถึงยุคสมัยของเขานั้น คือการเข้าไปปรับเปลี่ยนทัศนะผู้คน เพื่อสร้างชุดความรู้ใหม่
“สมัยก่อนต้องยอมรับว่าสังคมไทย มองกัญชาในแง่ลบมาก เลยคิดว่าต้องนำชุดข้อมูลของต่างประเทศมาเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา เราก็นำมาใช้เป็นโมเดล เพื่อสร้างความรู้แก่ประชาชน”
‘ทายาทลุงตู้’ ยังพูดถึงภาพจิตรกรรมที่ตกแต่งในอารามหลวงอย่าง ‘วัดพระแก้ว’ จะมีภาพวาดลิงหั่นกัญชา รวมถึงกลุ่มทหารล้อมวงดูดกัญชา สะท้อนให้เห็นว่าก่อนที่จะมีกฎหมายตีตรา สำหรับ ‘กัญชา’ เป็นเพียงโอสถในหมอกควัน ยามเว้นว่างภารกิจ
ทว่าหลังจากปี พ.ศ.2522 ทางการไทยได้คลอด ‘พ.ร.บ.ยาเสพติด’ ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวที่ถูกอ้างถึงในปัจจุบัน มันได้วาดภาพ ‘กัญชา’ คือของต้องห้าม แต่เจ้าตัวยังเชื่อว่าเมื่อสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงคืบคลานเข้ามา เสรีภาพในทางเลือกของผู้คนจะเปิดกว้างมากขึ้น
“ถ้าถามว่ากัญชาพร้อมจะปลดล็อกหรือยัง ผมว่าพร้อมแล้วนะ” เขาสำทับอีกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างคุ้นชินกับกัญชามากขึ้น และเข้าถึงได้ง่ายทั้งทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางอาหาร อย่างไรก็ตามเขาย้ำว่าหากจะเสรีต้องอยู่ภายใต้การควบคุม
“สำหรับการควบคุม ไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่จะเสรี ภาครัฐก็ต้องไปดูงานของแต่ละประเทศ ว่าเขามีกฎอย่างไร แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย”
อีกปัจจัยสำคัญคือ ภาครัฐต้องเข้าไปให้ความรู้เกษตรกรที่สนใจพืชเพาะปลูกตัวนี้ ก่อนสร้างแบบแผนเพื่อคุณภาพของผลผลิต ต่อยอดไปยังการส่งออกกัญชาสู่ตลาดโลก ส่วนผู้สนใจใช้กัญชา รัฐต้องกำหนดช่วงวัยหรือจำกัดการใช้ให้ชัดเจน ในส่วนนี้ต้นน้ำเชื่อว่า “รัฐสามารถออกแบบได้”
“ตั้งแต่ผมต่อสู้กับความคิดคนมา ส่วนใหญ่เขาจะกลัวโดนจับ เขาไม่ได้กลัวว่ากัญชามันคือสิ่งไม่ดี ถ้าแก้ตรงจุดนี้ได้ ประชาชนจะกล้าออกมาใช้กันมากขึ้น”
“ถ้ากฎหมายเปลี่ยน ทัศนคติคนมันเปลี่ยนแน่นอน” ต้นน้ำมองว่าความกลัวของประชาชนยังคงอยู่ ตราบใดที่ภาครัฐไม่เอื้อหนุนทางกฎหมาย หรือการเรียนการสอนยังปลูกฝังว่ากัญชาเป็นยาเสพติด ไม่เปิดพื้นที่ให้นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาได้ออกมาให้ความรู้ประชาชน การปลดล็อกก็จะเป็นไปได้ยาก
“เลิกสอนซะทีว่ามันคือยาเสพติด อย่างรุ่นผมโตมากับคำว่ากัญชาเป็นยาเสพติด และผมก็มองมันเป็นสิ่งไม่ดี แต่พ่อ (ลุงตู้) ผมดูดกัญชานะ พูดตรงๆนะตอนนั้นผมอายที่มีพ่อดูดกัญชา เพราะผมเรียนมาอย่างนี้”
แต่แล้ววันหนึ่งคนที่ถูกมองว่าประพฤติตัวผิดศีลธรรมอย่างพ่อของเขา กลับลุกขึ้นมาเปลี่ยนภาพเหล่านั้นต่างมุมออกไปจากเดิม ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันไม่ได้เลวร้าย แม้ต้องแลกกับอิสรภาพจากกฎหมาย แต่ลุงตู้บอกกับต้นน้ำว่า “จะไม่ยอมให้คนที่เขารักตายไป”
“พ่อผมเริ่มจากพิสูจน์ให้คนในครอบครัวเห็น ด้วยการใช้กัญชารักษาคุณตาที่เป็นมะเร็งผิวหนัง แล้วมันรักษาได้ผล ไม่ต้องไปทำคีโม ก่อนหน้านี้หลายคนในบ้านเป็นมะเร็ง และต้องตายเพราะเคมีบำบัด แต่พอลุงตู้ได้ใช้กัญชามาบรรเทา ก็สามารถรักษาคุณตาผมให้มีชีวิตได้อีกเกือบ 10 ปี”
แน่นอนว่าหลายคนอาจตั้งคำถามเหตุใดพืชชนิดหนึ่งถึงรักษาได้หลายโรคภัย ทายาทลุงตู้บอกว่า ในตัวของกัญชาจะมี “สารเอนโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoids)” อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นคือ “สารให้ความสุข” ที่จะเข้าไปทดแทนในร่างกายของผู้ป่วย ทำให้หลับง่ายขึ้น บรรเทาความเจ็บปวดให้น้อยลง
“ยกตัวอย่างถ้าคุณเป็นโรคเครียด คุณนอนไม่หลับ ถ้าใช้กัญชาสารเอนโดแคนนาบินอยด์จะทำให้เคลิ้มรู้สึกปล่อยวาง คลายความกดดันที่อยู่ในความคิดทำให้หลับง่ายขึ้น”
ต้นน้ำย้ำว่า ‘ลุงตู้’ ไม่ได้เป็นหมอไม่ได้จบแพทย์ พ่อของเขาจะบอกกับสังคมเสมอว่า “ผมเป็นแค่ขี้ยาใช้กัญชา” ไม่ใช่ 'หมอเทวดา' เพราะลุงตู้ไม่อยากโกหกสังคม แต่ขี้ยาคนนี้กำลังจะทำให้คนในสังคมรู้ว่า กัญชามันสามารถรักษาคนได้
“สิ่งที่พ่อทำคือบอกคนที่ดูดกัญชาว่า ไอ้ที่คุณดูดอยู่ มันสามารถช่วยคนที่คุณรักได้นะ” ต้นน้ำ เล่าถึงอุดมการณ์บิดาแห่งวงการกัญชาไทย
จากการผลักดันของลุงตู้ แม้จะถูกสังคมดูถูกว่าเป็น 'ไอ้ขี้ยา' แต่พ่อของต้นน้ำกลับพลิกคำดูแคลนนี้ใหม่ ด้วยผลลัพธ์การรักษาคนในครอบครัวตัวเอง ไม่ได้นโนสำนึกว่ากัญชามันคือยาวิเศษโดยอุปโลกน์ แต่มันมีที่มาของจุดเริ่มต้น ที่ต่อยอดมาจาก ‘ริค ซิมสัน’ ผู้คิดค้น ‘น้ำมันกัญชาสกัด’
“ลุงตู้เขาไม่ได้เป็นหมอเทวดา แต่เขาทำหน้าที่เหมือนโค้ชที่คอยแนะนำผู้ป่วย เช่นสมมติคุณเป็นโรคนอนไม่หลับ คุณต้องมาปรึกษาด้วยตัวเอง แล้วเขาจะแนะนำว่าเริ่มจากหยอดน้ำมันกี่หยด แล้วค่อยเพิ่มระดับตามอาการ ไม่ใช่การฝากให้คนอื่นมาปรึกษา เพราะโรคมันฝากกันเป็นไม่ได้”
ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคต่างๆ เข้ามาปรึกษาและอยู่ในการดูแลตามแนวทางของลุงตู้เป็นจำนวนมาก ต้นน้ำบอกว่าขั้นตอนแรกจะแนะนำให้ไปหาแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและเข้าใจการรักษาอาการป่วยด้วยกัญชา ควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการอยู่ในมือหมอมันปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย
“แต่หมอต้องเปิดใจสำหรับกัญชา ไม่ใช่แนะนำให้คนไข้ไปทำเคมีบำบัดอย่างเดียว มันต้องมีทางเลือกให้ ทั้งการใช้กัญชาและแพทย์แผนปัจจุบัน”
ด้วยโรคร้ายที่ไม่เลือกฐานะชนชั้น แต่การเข้าถึงการรักษาที่ดี ก็ตามมาด้วยปัญหาด้านทุนทรัพย์ของแต่ละราย จึงเป็นที่มาของการเปิดคอร์สสอนในการบูรณาการกัญชาให้เป็นหนึ่งในการรักษาที่ใช้ต้นทุนต่ำ ทั้งการสอนต้มยาหรือสกัดเป็นน้ำมัน
หากคนไข้ยากไร้เงินซื้อกัญชาที่แปรรูปแล้ว เขาจะแนะนำประชาชนไปหามาปลูกไว้เพื่อใช้ประโยชน์ และยังเป็นการลดภาระผู้ป่วย “ล้นโรงพยาบาล” โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 เช่นนี้
“บางเคสคนที่มาปรึกษาก็รู้ว่าต้องทำผิด แต่เขายอมเสี่ยงเพื่อให้คนในครอบครัวมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็มีเยอะที่ถูกจับไป แล้วถูกสังคมโจมตี พวกคุณไม่รู้หรอกว่าบางคนเขาไม่มีเงิน แล้วจะให้เขาซื้อยาดีๆมาได้อย่างไร”
‘หนึ่ง’ หญิงร่างเล็กผอมเกร็ง กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อเล่าถึงลุงตู้ เธอยกให้เป็นผู้มีพระคุณโดยไร้ความสงสัย หลังจากเข้ารักษาตามแนวทางของลุงตู้ จากภาวะโรคตับที่แม้แต่ตัวแพทย์เองยังจนหนทางช่วยชีวิต
“ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกแล้ว มันไม่มีอะไรจะเสีย แฟนฉันก็พามาคุยกับลุง แกก็แนะนำว่าให้ใช้กัญชาแบบไหนสำหรับโรคของฉัน ทุกวันนี้ร่างกายก็ดีขึ้นมาก”
หนึ่ง ย้อนความหลังในวันที่ตัดสินใจเข้ารับการรักษาโดยกัญชา ขณะนั้นร่างกายของเธอทรุดหนัก กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นผู้ป่วยติดเตียงจวนเจียนจะสิ้นใจ ทว่าหลังได้รับการรักษามาร่วม 3 ปี ทุกวันนี้สุขภาพก็ดีขึ้นตามลำดับ เธอเน้นย้ำว่าสำหรับผู้ป่วยที่ย่างเข้าสู่ระยะสุดท้าย ต้องมีศรัทธาที่จะมีชีวิตต่อ และมีวินัยในการใช้กัญชา แม้อาจไม่หายขาดแต่ก็ยังมีลมหายใจ
“ลุงเป็นคนที่มีน้ำใจพร้อมช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาขอคำปรึกษา เหมือนเป็นคนที่ช่วยชุบชีวิตฉันให้เกิดใหม่” หนึ่งน้ำตาคลอน้ำเสียงสั่น เมื่อเล่าถึงความประทับใจต่อผู้คืนชีวิตให้เธอ
‘วัดจอมทอง’ นอกจากเป็นที่พักพิงของญาติโยมแล้ว ที่แห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์เรียนรู้กัญชาทางการแพทย์ แน่ละว่าคือ ‘ลุงตู้’ เข้ามาบุกเบิก ก่อนจดยื่นจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนถูกต้องตามกฎหมาย
‘วอยซ์’ ได้พูดคุยกับ ‘พระศุภโชค’ สังกัดวัดบ้านน้อย อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก หลังได้เข้าร่วมฟังวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้และคุณประโยชน์ของกัญชา ‘พระศุภโชค’ เล่าหวนทวนความทรงจำว่าราวปี 2562 ได้เจอกับลุงตู้ ณ ที่แห่งนี้
ขณะนั้นได้เห็นภาพของฆราวาสเข้ามาปรึกษาการใช้กัญชารักษาโรคต่างๆ และเห็นว่าปัจจุบันหลายคนที่ป่วยหนักในปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับคนไข้ที่มีทางเลือกในการรักษา
“ตอนปี 62 มีพระภิกษุมารักษาตัวที่วัดจอมทอง เป็นโรคสะเก็ดเงิน พอใช้กัญชา 3 เดือน พระองค์นั้นท่านก็มีอาการดีขึ้น แล้วก็มีภรรยาของคนเหลี่ยมพระ ตอนนั้นท้องเขาบวมมาก หมอก็ไม่รับรักษาต่อแล้ว สามีเขาก็บอกว่าตายแน่นอน พอมารักษาที่นี่ ทุกวันนี้ก็ยังเห็นเดินใส่บาตรอยู่”
สำหรับคุณประโยชน์หลังได้ร่วมเรียนรู้วิธีสกัดน้ำมันกัญชา ‘พระศุภโชค’ บอกว่าการอบรมครั้งนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก จากนี้พระก็สามารถนำความรู้ไว้ช่วยเหลือประชาชนต่อไป
ด้านสุขภาพของพระศุภโชคนั้น มีโรคประจำตัวคือ ความดัน,เบาหวาน,ไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่พระสงฆ์ต้องเผชิญเป็นส่วนมาก อย่างไรก็ตามยังคงรักษาอาการป่วยกับแพทย์แผนปัจจุบัน พร้อมใช้ควบคู่ไปกับกัญชาทางการแพทย์
“ปกติเป็นคนนอนหลับยาก และไม่สามารถนอนหงายได้เพราะกรนด้วย แต่พอดื่มน้ำต้มกัญชาแล้ว รู้สึกว่านอนหลับอิ่มสบาย” พระศุภโชค กล่าว
ในส่วนมุมมองต่อพระสงฆ์เรื่องใช้กัญชา ‘พระศุภโชค’ บอกว่าในหลักคำสอนของพระไตรปิฎกบ่งชี้ชัดว่ากัญชานั้นคือโอสถ ในอดีตกาลถือเป็นยารักษาอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าในมุมมองของคนทั่วไป คงหนีไม่พ้นคำวิจารณ์ หากเห็นภาพพระสงฆ์ใช้กัญชา พระศุภโชคบอกว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะมันยังผิดกฎหมาย และขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
สำหรับการปลดล็อกทางกฎหมายที่เหมือนกีฬาชักกะเย่อ ที่ถูกดึงกันไปมาและเป็นรอยต่อให้ผู้คนถูกจับกุม จากความคลุมเครือของตัวบทกฎหมาย 'ทายาทบิดาแห่งกัญชาไทย' มองว่าในอนาคตประเทศไทยไม่สามารถหลีกหนีกระแสโลกหรือสังคมได้ เห็นได้จากการเคลื่อนไหวทั้งภาคประชาชน และผู้คนในโซเชียลมีเดีย ซึ่งรัฐบาลควรรับฟังเสียงของพวกเขา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นดั่งหวัง
“ยกตัวอย่างกฎหมายที่ลุงตู้กับพรรคพวกไปรวบรวมมา 12,000 รายชื่อ เพื่อยื่นร่าง พ.ร.บ.พืชยาเสพติดให้คุณทางการแพทย์ เมื่อปี 2562 ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมไว้ทั้งหมดแล้ว แต่ก็ถูกตีตกไปโดยไม่มีการชี้แจงเหตุผล”
เมื่อการผลักดันไม่ประสบความสำเร็จ ต้นน้ำได้กลับมาตั้งคำถามพร้อมหาข้อมูลการเคลื่อนไหวยื่นร่างกฎหมายของภาคประชาชนโดยสมบูรณ์ ว่าเคยผ่านกี่ฉบับ ซึ่งคำตอบที่ได้คือ ‘หนึ่งฉบับ’ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเอามาผสมกับความเห็นในชั้นกรรมาธิการของรัฐสภา
“กฎหมายที่มันเขียนจากประชาชน ไม่ได้มอบผลประโยชน์ให้คนใดคนหนึ่ง มันไม่แปลกหรอกถ้ามันจะโดนตีตก”
สำหรับข้อเรียกร้องถึง ‘ผู้มีอำนาจ’ ที่อยู่ในกระบวนการปลดล็อคและการขายฝันนโยบายนั้น ผู้สานต่ออุดมการณ์ลุงตู้ ชี้ให้เห็นว่า ‘อำนาจ’ มันคือ ‘ความลุ่มหลง’ จากคนที่ไม่เคยมีอำนาจ แต่พอได้ขึ้นเป็นใหญ่ กลับไม่ทำตามที่เคยพูดไว้
“ก่อนหน้าที่ยังไม่มีอำนาจ ก็บอกว่าจะทำเพื่อประชาชนได้หมด แต่พอมีอำนาจคุณก็ไม่ทำ มัวแต่ลังเลมันก็เหมือนเสียคำพูด เพราะคำพูดมันเป็นนายเรา จากนี้ไปประชาชนก็คงไม่เชื่อใจแล้ว”
เขายังเล่าถึงบรรยากาศในการเข้าประชุมคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง ผู้มีอำนาจจะถกเถียงกันแค่ในประเด็น THC ว่ามันจะมอมเมาเยาวชนหรือเอาไปใช้ในทางที่ผิด
“แต่คุณไม่คิดกันเลยว่า ไอ้สิ่งที่คุณกลัวจะแก้ไขอย่างไร ให้มันสามารถควบคุมได้ ผมเชื่อว่ามันมีทางออกไม่ใช่มากลัว ในสิ่งที่มันยังไม่เกิด”
บุรุษผู้ผลักดันแพทย์ทางเลือก ยังเชื่อว่าในอนาคตกัญชาจะเสรีไปโดยปริยาย เพราะวัฐจักรของกัญชา กำลังอยู่ในยุคที่เป็นอิสระจากการถูกจองจำเป็นยาเสพติด และกฎหมายก็ต้องเปลี่ยนตามยุคสมัย สุดท้ายกัญชาจะถูกกฎหมาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกปลอมในสังคมต่อไป