ไม่พบผลการค้นหา
สถิติการฆ่าตัวตายในแต่ละปีสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามมาด้วยคำถามจากสังคมว่า อะไรเป็นเหตุจูงใจทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างก็ว่าจากพิษเศรษฐกิจ-โรคซึมเศร้า-ความเครียด ขณะแพทย์ให้ข้อมูลว่าการฆ่าตัวตายสำเร็จไม่ได้มาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง และมักจะมาจากปัจจัยอันสลับซับซ้อนเสมอ

ในทุกๆ ปีจะปรากฏข่าวการฆ่าตัวตายต่อเนื่อง ย้อนไปช่วง 28 ก.พ.- 6 มี.ค. 2562 ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ มีเหตุการณ์นิสิต-นักศึกษาฆ่าตัวตาย ถึง 4 เหตุการณ์

ต่อมาในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา มีการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายที่มีการระบุว่ามาจากความเครียดสะสมจากปัญหาหนี้สิน เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซาถึง 6 เหตุการณ์ และในวันที่ 4 ต.ค. เพียงวันเดียว มีข่าวการรายงานข่าวการฆ่าตัวตายถึง 4 เหตุการณ์

28 ก.พ.-6 มี.ค. 2562 มีเหตุการณ์ ดังนี้

  • 28 ก.พ. นักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กระโดดจากอาคารหอพักบาดเจ็บสาหัส
  • 1 มี.ค. นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระโดดลงมาจากอาคารเสียชีวิต
  • 4 มี.ค. นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กระโดดอาคารเสียชีวิต
  • 6 มี.ค. นิสิตคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กระโดดลงมาจากอาคารเรียนเสียชีวิต

11-19 ส.ค. 2562

  • 11 ส.ค. เจ้าของร้านอาหารเวียดนามย่านเมืองทองธานี ฆ่าตัวตายในอพาร์ตเมนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดผู้ตายเครียดปัญหาชีวิตหลายเรื่อง ประกอบกับกิจการร้านอาหารประสบภาวะขาดทุนเพราะพิษเศรษฐกิจ
  • 13 ส.ค. พ่อ แม่ ลูก ใช้เตารมควันเสียชีวิตในรถยนต์ เครียดธุรกิจขาดทุน
  • 15 ส.ค. เจ้าของอู่ซ่อมรถที่จ.พัทลุงยิงตัวเองเสียชีวิต เจ้าหน้าที่่สอบสวนทราบว่าผู้เสียชีวิตเคยบ่นกับคนใกล้ตัวถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีจนพบกับสภาวะขาดทุน  
  • 19 ส.ค. ชายขับรถแท็กซี่วัย 62 ปี ผูกคอเสียชีวิต ทิ้งจดหมายตัดพ้อชีวิตยากลำบาก หนี้ท่วมตัว
  •  21 ส.ค. สามี-ภรรยาผูกคอเสียชีวิต เพื่อนผู้ตายให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผู้ตายเคยมาปรึกษาเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ที่ไปกู้เงินมา แต่ปรากฎว่าไม่สามารถหมุนเงินทัน เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ร้านขายของไม่ค่อยได้ 
  • 23 ส.ค. หนุ่มอาชีพโฟร์แมนวัย 42 ปี จุดเตาถ่านรมควันตัวเองเสียชีวิตอยู่ภายในรถยนต์ ทิ้งจดหมายเขียนถึงภรรยาและลูก บอกว่าอยู่ต่อไม่ไหวแล้วหนี้สินเยอะเหลือเกิน

4 ต.ค. 2562

  • หนุ่มวัย 22 ปี ยิงตัวเสียชีวิตในรถยนต์ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากญาติว่าผู้ตายเป็นโรคซึมเศร้า อาจเกิดความเครียด และพบว่ามีปัญหาเรื่องหนี้สิน
  • ส.ต.อ.วัย 32 ปี ยิงตัวเองเสียชีวิตในห้องพักแฟลตตำรวจที่ จ.ยะลา เจ้าหน้าที่คาดว่ามาจากปัญหาความเครียดสะสม
  • หญิงอายุ 40 ปี จุดเตาถ่านรมควันตัวเองเสียชีวิตที่ จ.ชลบุรี
  • อดีตเจ้าหน้าที่ศาลอุทธรณ์ วัย 88 ปี ใช้ปืนยิงตัวเองเสียชีวิตภายในบ้าน

เป็นเหตุการณ์อัตวินิบาตกรรม หรือ ฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 10 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ซึ่งรวบรวมจากรายงานข่าวตามสื่อต่างๆ และมีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้

ซึมเศร้า


คนไทยพยายามฆ่าตัวตายปีละ 5.3 หมื่นคน

นายแพทย์ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ ฉายภาพสถานการณ์ปัญหาการฆ่าตัวตายในประเทศไทยว่า อัตราการฆ่าตัวตายของประเทศไทยปี 2561 อยู่ที่ 6.34 ต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งจะมีคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ยปีละประมาณ 4,000 คน ตัวเลขนี้เป็นแบบนี้ต่อเนื่องมาหลายปี ที่ผ่านมาอัตราการฆ่าตัวตายไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงแบบมากๆ จะเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ประมาณ 6.1-6.3 มาตลอด

จึงอนุมานได้ว่าตัวเลข 4,000 คนที่เสียชีวิตต่อปี เฉลี่ยวันละ 10 คน หรือคิดเฉลี่ยประมาณ 300 คนต่อเดือน อีกทั้งข่าวการฆ่าตัวตายจะถูกนำเสนอผ่านสื่อมวลชนให้ประชานได้รับรู้เป็นรายเดือน ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาคนให้ความสนใจเรื่องการฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น เพราะอาจมีคนมีชื่อเสียงอยู่ในตัวเลขนี้ด้วย

ขณะที่ช่วงเวลาต้นปี 2562 มีการพูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตายกันมาก เนื่องจากมีการพูดถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่ฆ่าตัวตายในมหาวิทยาลัยต่างๆ

นายแพทย์ณัฐกร ขยายภาพให้ชัดเจนขึ้นอีกว่า มีคนไทยพยายามฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละประมาณ 53,000 คน ในกลุ่มนี้จะทำสำเร็จประมาณ 4,000 คน ที่เหลืออีกประมาณ 49,000 คน เป็นผู้ที่เคยพยายามทำร้ายตัวเองและมีความเสี่ยงที่จะทำร้ายตัวเองซ้ำอีก นั่นหมายความว่าทุก 9.5 นาที มีคนพยายามฆ่าตัวตายประมาณ 1 คน ในทุกๆ 2 ชั่วโมง มีคนทำร้ายตัวเองสำเร็จ 1 คน แต่ไม่ได้หมายความว่าหากครบ 2 ชั่วโมงจะมีคนทำร้ายตัวเอง เพียงแต่ตัวเลขนั้นเป็นการเฉลี่ยออกมาเท่านั้น 

"สถิติการฆ่าตัวตายในปี 2562 มีแนวโน้มมากกว่าปีที่แล้ว แต่เชื่อว่าไม่เกิน 6.5 ต่อประชากร 1 แสนคน ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นไม่มากและไม่ได้เพิ่มจนมีนัยยะสำคัญ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ารายงานที่ได้อาจไม่เรียลไทม์ ดังนั้นการคาดการณ์นี้อาจมีความคลาดเคลื่อนเช่นกัน" นายแพทย์ณัฐกร กล่าว




10-10-2562 10-22-17.jpg

ที่มา : กรมสุขภาพจิต


การฆ่าตัวตายมาจากปัจจัยอันสลับซับซ้อนเสมอ

นายแพทย์ณัฐกร กล่าวว่า หลายฝ่ายยังคงคลำหาต้นตอปัญหาที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย และจากการเก็บข้อมูลของกรมสุขภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีปัจจัยหลายส่วนที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ร้อยละ 50 โรคเรื้อรังทางกาย เช่น ความดัน เบาหวาน อัมพาต หลอดเลือดสมอง ฯลฯ ร้อยละ 25 โรคทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้านร้อยละ 10 โรคทางจิตร้อยละ 12 การใช้สุราร้อยละ 30 กลุ่มทำร้ายตัวเองซ้ำร้อยละ 12  

 

ปัจจัยข้างต้นทำให้พบว่าทั้งหมดไม่มีปัจจัยนำไปสู่การฆ่าตัวตายเพียงเรื่องเดียว แต่อาจมีเรื่องปัจจัยทางร่างกายบวกเรื่องความสัมพันธ์และสุรา จึงนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า การฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นไปไม่ได้ว่าจะมาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่มาจากปัจจัยอันสลับซับซ้อนเสมอ


ขณะเดียวกันกรณีคนกลุ่มหนึ่งที่ฆ่าตัวตายสำเร็จจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจนั้น เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มฆ่าตัวตายดังกล่าวพบว่าไม่ใช่ปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่มีพบว่าคนกลุ่มนี้มีโรคทางกายร้อยละ 30 โรคทางจิตใจร้อยละ 20 เรื่องการใช้สุราร้อยละ 30 จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนจะฆ่าตัวตายจากภาวะเรื่องเศรษฐกิจเพียงเรื่องเดียว เนื่องจากมีปัจจัยด้านอื่นมาทับซ้อนและร่วมด้วยเสมอนั่นเป็นข้อเท็จจริงจากการเก็บข้อมูล 

"บางครั้งจะเห็นสื่อนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายโดยทิ้งสมมติฐานไว้ว่า รายนี้คาดว่ามีปัญหาเรื่องความรัก รายนี้มีปัญหาเรื่องการเรียน รายนี้คาดว่ามีปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้า ทั้งที่ในความเป็นจริงมันไม่ถูกนักที่เราไปคาดว่ามีปัญหาเดียว และสื่อไม่ควรไปชี้นำ เพราะกว่าจะระบุถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายได้นั้น มันมีกระบวนการที่ซ้ำซ้อน และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการดูภาพเพียงส่วนเดียวแล้วสมมติเพียงอย่างเดียวคิดว่าควรหลีกเลี่ยง" นายแพทย์ณัฐกร ระบุ 

เศร้า.jpg

ห่วงพฤติกรรมลอกเลียนแบบจากการนำเสนอข่าว

นายแพทย์ณัฐกร กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลน่าจะเป็นเรื่องการลอกเลียนแบบที่ถือว่ามีนัยยะสำคัญมากกว่า หลายปรากฎการณ์ในปี 2561-2562 มีข่าวฆ่าตัวตาย ถูกนำเสนอต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างข่าวกลุ่มนักศึกษาฆ่าตัวตายสำเร็จ หลังจากนั้นจะมีข่าวในลักษณะนี้ทยอยออกมา และพบว่ามีวิธีการที่ใกล้เคียงกัน

มีการอธิบายว่าถ้าเกิดมีปรากฎการณ์การฆ่าตัวตายของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง วิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง วัยใดวัยหนึ่ง แล้วมีการแพร่กระจายรายละเอียดวิธีการอย่างกว้างขวางผ่านสื่อ ก็อาจมีผลทำให้อัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มเดียวกันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การเล่าเนื้อหาขั้นตอนการฆ่าตัวให้เห็นรายละเอียด ถ้าหากมีคนคิดทำร้ายตัวเองก็อาจไปเพิ่มความสะดวก หรือคนดูข่าวแบบนี้บ่อยๆ ก็อาจเกิดการลอกเลียนแบบเช่นกัน 

ทุกวันมีสื่อนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายเพียงแต่อาจอยู่ในกรอบเล็ก กรอบใหญ่ แต่จากที่ติดตามก็พบทุกวัน ถ้าหากข่าว หรือคลิปการฆ่าตัวตายถูกส่งสารไปยังเด็กที่ยังไม่มีวิจารณญาณ หรือผู้เปราะบาง กลุ่มเสี่ยง เมื่อรับสารนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถือเป็นเรื่องน่ากังวลอยู่เราต้องรู้เท่าทัน สอดคล้องกับเรื่องการพาดหัว headline เช่น ‘นักศึกษาฆ่าตัวตายสำเร็จแล้วอีก 1’ ‘กระโดดอีกแล้ว มหาวิทยาลัยตาย’ ซึ่งไม่ควรทำแบบนั้น 


#หัวใจมีหู : แค่รับฟังอาจช่วยชะลอช่วงเวลาวิกฤต

นายแพทย์ณัฐกร ย้ำว่า การนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายทุกเคสอย่างละเอียดไม่ใช่ทำให้สังคมดีขึ้น แต่เป็นการทำให้การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่สังคมตระหนักดีกว่า อย่างแคมเปญของกรมสุขภาพจิต แฮชแท็กหัวใจมีหู ฯลฯ ในแคมเปญเหล่านี้กระตุ้นให้สังคมเห็นความสำคัญของการฟังอย่างใส่ใจ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาฆ่าตัวตายมันเป็นไม่ได้ที่จะเป็นวิธีการของระบบสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว เพราะปัญหาการฆ่าตัวตายไม่ใช่ปัญหาสาธารณสุข มันเป็นปัญหาที่เกิดจากหลายอย่างทับซ้อนกัน เช่น สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และเรื่องการเจ็บป่วย 

"สาธารณสุขทำคนเดียวไม่ไหว ดังนั้นภาคประชาชนต้องมาร่วมด้วย เราเชื่อว่าแค่คนใกล้ตัวฟังอย่างตั้งใจจะให้คนที่ตัดสินใจทำหรือไม่ทำ หรือตัดสินใจแล้วว่าทำ อาจทำให้เขาสามารถชะลอช่วงเวลาวิกฤตได้ และเขาอาจไม่ทำอีกเลย ดังนั้นกลุ่มคนเปราะบางคนต้องมีใครสักคนเพื่อค่อยพูดคุยหรืออยู่ด้วย หากไร้คนปรึกษาสามารถโทรหาที่เบอร์กรมสุขภาพจิต 1323 ได้ทันที" นายแพทย์ณัฐกร เผยช่องทางการช่วยเหลือ 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :