นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับธนาคารพาณิชย์ในกำกับ และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ บสส. (SAM) เปิด 'คลินิกแก้หนี้' ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2560 และได้ปรับปรุงเงื่อนไข กระบวนการพิจารณาลูกหนี้เข้าร่วมโครงการมาแล้ว 2 ระยะ ประกอบการสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนของไทยยังอยู่ในสถานะน่าเป็นห่วง โดยพบว่า กว่าร้อยละ 40 ของหนี้ครัวเรือนไทยเป็นหนี้สินจากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค และเป็นหนี้จากบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด
ดังนั้น ธปท. จึงประกาศเดินหน้าโครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 3 เริ่ม 1 ก.พ. 2563 โดยปลดล็อกใน 3 เรื่อง ได้แก่
อีกทั้งในเฟสที่ 3 ยังครอบคลุมลูกหนี้เอ็นพีแอลของสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (หนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด) ของธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจซึ่งล่าสุดมีธนาคารออมสินเข้าร่วมโครงการ)
นางธัญญนิตย์ ย้ำด้วยว่า ความพิเศษของโครงการคลินิกแก้หนี้ในระยะที่ 3 ยังมีเพิ่มเติมอีก 2 มิติ
"โครงการคลินิกแก้หนี้มีสถาบันการเงินทั้งแบงก์ นอนแบงก์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เป็นสมาชิกรวม 35 แห่ง และนับเป็นเครือข่ายช่วยเหลือประชาชนแก้หนี้บัตรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยมีธนาคารออมสินถือเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดที่เข้าร่วมโครงการฯ" นางธัญญนิตย์ กล่าว
นอกจากนี้ โครงการคลินิกแก้หนี้ เฟส 3 ยังปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการ ทั้งกระบวนการทำงานให้รวดเร็วมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีและช่องทางสื่อสารทันสมัยเข้ามาอำนวยความสะดวก รวมถึงการทำงานเชิงรุก ขยายฐานลูกค้าโดยหาลูกค้าต่างจังหวัดมากขึ้น เปิดให้บริการวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และประสานกับศาลรวมถึงกรมบังคับคดีเพื่อหาข้อสรุปในขั้นตอนไกล่เกลี่ย ซึ่ง ธปท. คาดว่าน่าจะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดโครงการคลินิกแก้หนี้ เมื่อ 1 มิ.ย. 2560 ถึงสิ้นปี 2562 พบว่า มีลูกหนี้ยื่นใบสมัครเข้ารวมโครงการแล้ว 70,000 ราย แต่เข้าร่วมโครงการได้ 3,194 ราย ครอบคลุมบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดกว่า 13,000 ใบ หรือเฉลี่ยคนละ 3 ใบ ยอดเงินต้นเฉลี่ยคนละประมาณ 240,000 บาท ยอดผ่อนเฉลี่ยเดือนละ 3,000 บาท และมีระยะเวลาชำระเฉลี่ย 91 เดือน (หรือ 7.5 ปี) และในจำนวนนี้ สามารถชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว 72 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 2.3 ของผู้เข้าโครงการทั้งหมด (3,194 ราย)
"ตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อปี 2560 มีลูกหนี้ที่ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ในปี 2560 จำนวน 560 ราย ปี 2561 จำนวน 527 ราย และพอปี 2562 ซึ่งมีการปลดล็อก ให้ครอบคลุมลูกหนี้นอนแบงก์ เป็นเอ็นพีแอลก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2562 และเป็นลูกหนี้คดีดำ จึงทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดมาเป็นจำนวน 2,107 ราย ส่วนปีนี้ เมื่อมีการทำเฟส 3 คาดว่าจะมีจำนวนผู้ที่เข้าร่วมโครงการได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หรือเพิ่มขึ้นอีก 5,000 ราย จากปัจจุบันมีทั้งสิ้น 3,194 ราย" นางธัญญนิตย์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: