รัฐบาลญี่ปุ่นบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีการขายเพิ่มจากเดิม 8 % เป็น 10 % ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้จะมีการออกมาตรการผ่อนผันเพื่อช่วยเหลือประชาชนอยู่บ้าง แต่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยได้สะท้อนความไม่พอใจต่อมาตรการดังกล่าวออกมา
การขึ้นภาษีการขาย หรือภาษีสินค้าอุปโภคบริโภค ที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน พยายามผลักดันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในทางการเมือง เพราะรัฐบาลชุดนี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาญี่ปุ่นให้บังคับใช้มาตรการดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งสื่อหลายสำนักเรียกนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ว่า 'อาเบะโนมิกส์'
แม้ว่ามาตรการนี้จะถูกประชาสัมพันธ์ล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อบังคับใช้จริงก็ยังเกิดผลกระทบอยู่บ้าง เพราะ 'นิกเคอิ เอเชี่ยน รีวิว' สื่อด้านธุรกิจของญี่ปุ่นรายงานว่า ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากหลั่งไหลไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อจับจ่ายใช้สอยข้าวของไปกักตุนช่วงก่อนวันที่ 1 ตุลาคม เพราะไม่ต้องการเสียเงินเพิ่มจากการซื้อสินค้าที่บวกภาษีเพิ่ม จาก 8 เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาขาย
ห้างโยโดบาชิ ซึ่งเป็นแหล่งขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ออกมาสะท้อนพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นผลจากมาตรการนี้ว่า ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากไปซื้อสินค้าที่สาขาต่างๆ ของโยโดบาชิ ช่วงส่งท้ายเดือนกันยายน ทำให้บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมถึงกล้อง และทีวีดิจิทัล ซึ่งกำลังจะเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ช่วงปลายปี วิตกกังวลว่า การที่ประชาชนหันไปซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมากช่วงก่อนขึ้นภาษีอาจส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายสินค้าในอนาคต
ส่วนประชาชนธรรมดาบางรายให้สัมภาษณ์สื่อว่า พวกเขากักตุนสินค้าในชีวิตประจำวันเอาไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู หรือแม้แต่กระดาษชำระ เพราะไม่อยากจะจ่ายเงินแพงกว่าเดิม แต่คนญี่ปุ่นอีกจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้เห็นว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบอะไรมากนัก เพราะเป็นการขึ้นภาษีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับตอนปี 2014 ที่รัฐบาลญี่ปุ่นขึ้นภาษีการขายจากเดิม 5 เปอร์เซ็นต์มาเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่ายังไม่มากเท่าครั้งก่อน จึงคิดว่าน่าจะปรับตัวรับมือกันได้
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็มีมาตรการผ่อนผันเพื่อแบ่งแบาภาระประชาชนอยู่บ้าง โดยเสนอให้มี 'อัตราการเก็บภาษี' ที่หลากหลาย รวมถึงรับปากว่าจะอุดหนุนร้านค้าที่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เพื่อลดอัตราค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่างๆ ในระบบ โดยกรณีของร้านอาหาร ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อสินค้ากลับไปรับประทานที่บ้าน และจ่ายค่าอาหารที่บวกภาษีเพิ่มในอัตรา 8 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม หรือจะรับประทานอาหารที่ร้าน แต่ต้องจ่ายค่าอาหารรวมภาษีที่ขึ้นเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว
ที่ผ่านมา นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยืนยันว่ารัฐบาลจำเป็นต้องปรับขึ้นภาษีการขาย เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนด้านสุขภาพที่รัฐบาลต้องใช้ในการอุดหนุนประชากรในสังคมสูงวัยของญี่ปุ่น เพราะต้นทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับอายุเฉลี่ยของประชากรญี่ปุ่นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจก็เตือนญี่ปุ่นเช่นกันว่า มาตรการนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ และอาจจะทำให้ญี่ปุ่นประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลขึ้นภาษีเมื่อปี 2014
ส่วนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่รัฐบาลบังคับให้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชน ออกมาสะท้อนความยากลำบากในการปรับตัวรับมือกับการขึ้นภาษีครั้งนี้มากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ถูกขอความร่วมมือจากรัฐบาล ให้ติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้คนญี่ปุ่นลดการใช้เงินสด เพราะนอกจากจะช่วยให้การทำธุรกรรมต่างๆ ตรวจสอบได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รัฐบาลลดต้นทุนด้านนี้ลงอีกด้วย แต่ผู้ประกอบการรายย่อยบอกว่า อุปกรณ์ที่ต้องซื้อเพิ่ม ถือเป็นการลงทุนที่ไม่รู้ว่าจะได้กำไรคืนมาหรือไม่ เพราะการเก็บภาษีเพิ่ม อาจทำให้คนประหยัดมากขึ้น และไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอยอีกระยะหนึ่งเลยก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม นายรัฐมนตรีอาเบะยืนยันว่า รัฐบาลของเขาจะติดตามสถานการณ์หลังขึ้นภาษีอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางช่วยเหลือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ย้ำว่า การขึ้นภาษีการขายครั้งนี้น่าจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 5.7 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.58 ล้านล้านบาท และรัฐบาลจะนำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาระบบสวัสดิการและหลักประกันสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ อีกส่วนหนึ่งจะนำไปส่งเสริมระบบการศึกษาของเยาวชนก่อนวัยเรียน