เพจเชียร์ “บิ๊กแดง” ปูด ผบ.ทบ.บอก “อยากกลับไปเป็นทหารหนุ่ม ร่วมรบกับทหารชายแดนใต้” โอ้โห! ...แอดฯ ว่าพูดแบบนี้น่าจะเอาเวลาที่เหลืออีก 1 เดือน ลงไปทำงานพื้นที่ ให้ประชาชนเห็นเป็นขวัญตา ...จะกล้าเหมือนตอนสลายม็อบเสื้อแดง? ทางที่ดีอย่าปล่อยให้ “ลูกน้อง” มาคอยแซะ “ม็อบนักศึกษา” ด้วย #จะไม่ยอมให้จบที่รุ่นเรา
เพจ “SMART soldier strong ARMY” เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 ส.ค. พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานพิธีเปิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารงานของสถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ จากสวัสดิการภายใน เป็นสวัสดิการในเชิงธุรกิจ
พล.อ.อภิรัชต์ได้ไปพบปะพูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนใต้ ที่ได้มาพักฟื้นที่สถานพักฟื้นและพักผ่อน กองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ พร้อมกับถ่ายภาพทหารเหล่านั้นไว้เป็นที่ระลึก
โดยเพจดังกล่าวระบุว่า “ภาพเหล่านี้จะไม่มีวันลบไปจากใจ และมือถือของ ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 4 ได้นำทหารที่เคยได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้มาพักผ่อน ณ สวนสนประดิพัทธ์ แต่ละคน ถูกยิง แขน ขา บางคนโดนระเบิดบางคนโดนยิงหลัง หน้าอก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และเขาเหล่านี้ยังคงรบต่อไป รบจนสุดใจ ขาดดิ้น เพื่อปกป้อง สถาบัน ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และประชาชน ไม่มีวันรู้จบ ทุกคนชู 2 นิ้ว สำหรับชีวิตที่สู้เพื่อประชาชน และปกป้องชาติ สถาบัน อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย ทุกคน มีแต่รอยยิ้ม แม้ตัวจะมีบาดแผล
เพจดังกล่าว ระบุคำพูดของ ผบ.ทบ. ว่า ‘เห็นแล้วอยากกลับไปเป็น ทหารหนุ่มๆ ร่วมรบกับเขาอีก’ พร้อมทั้งติดแฮชแทกว่า #จะไม่ยอมให้จบที่รุ่นเรา #เราไม่ทิ้งกัน
ขณะที่นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง หยุดคุกคามประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ (ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 5,962 ตัวอย่างในโลกโซเชียล และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” (Traditional Voice) จำนวน 1,121 ตัวอย่าง พบว่า
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ต่อไปนี้เป็นการ คุกคามประชาชน หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.3 ยกกรณีจลาจลฮ่องกง จุดไฟเผาคุณลุงผู้เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน รองลงมาคือ ร้อยละ 95.6 ยกกรณีจลาจลฮ่องกง กลุ่มม็อบนักเรียนห้ามครูบาอาจารย์สอนเรียนนักเรียนคนอื่น บังคับให้ไปม็อบ เป็นการคุกคามประชาชน
ร้อยละ 92.3 ระบุ การโจมตี ด่า สลิ่ม ด่า ชังชาติ ต่างฝ่ายต่างด่าโจมตีกันไปมาเป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 91.7 ระบุการโจมตี ด่า กลุ่มเห็นต่างในโลกโซเชียล เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 91.4 ระบุ ม็อบกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวคนทำผิดกฎหมาย เป็น การคุกคามประชาชน และร้อยละ 91.4 เช่นกัน ระบุ กลุ่มนักเรียน ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัย ขณะครูบาอาจารย์กำลังสอน เป็นการคุกคามผู้อื่น
ร้อยละ 90.7 ระบุ การยึดพื้นที่ปิดถนน ไม่ให้ประชาชนเดินทางไปมาเป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 90.5 ระบุ การถอนโฆษณาจากรายการที่เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน และร้อยละ 89.8 ระบุ การปลดพิธีกรรายการที่เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน เช่นกัน
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุ เชื่อว่า จริง ที่ชาวต่างชาติกับนักการเมืองไทย กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ และอื่นๆ ร่วมกันออกแบบ สั่นคลอน ความมั่นคงของประเทศ ซ้ำเติมวิกฤติ ความเดือดร้อนของประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 17.6 ไม่เชื่อว่าจริง
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.1 ระบุ กลุ่มม็อบต่างๆ ก็คุกคามประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 22.9 ระบุ กลุ่มม็อบต่างๆ ไม่ได้คุกคามประชาชน อีกทั้ง ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.8 เห็นด้วยว่า ทุกฝ่ายควรหยุดคุกคามประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 10.2 ไม่เห็นด้วย
นายนพดล กล่าวด้วยว่า ข้อสังเกตที่ค้นพบอีกประการหนึ่งคือ ประเทศไทยมีจำนวนเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 12 – 24 ปี ทั่วประเทศจำนวน 11,056,769 คน อ้างอิงจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ.2562 จึงเห็นได้ว่า กลุ่มเคลื่อนไหว “หยุดคุกคามประชาชน” ในโซเชียลจำนวน 148,034 ผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 1.34 เท่านั้น ซึ่งยังต้องแยกกลุ่มผู้ใหญ่ที่เข้ามาผสมโรงออกไปอีกในโอกาสต่อไป
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองสงบสุขได้มากกว่านี้มาก ถ้าไม่มีการสร้างปั่นกระแสจากต่างประเทศเข้ามาผสมโรงเพราะระดับกระแสเฉพาะคนในประเทศไทยถูกเติมเชื้อไฟจากต่างประเทศเข้ามาทำให้เกิดภาพลวงตา ปลุกเร้าอารมณ์ให้ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนกำลังตกเป็นเครื่องมือ โดยฝ่ายหนึ่งใช้วิธีออนไลน์เชื่อมต่อลงพื้นที่จริง (Online-OnGround) ทำให้เกิดภาพกระแสแรงในโซเชียล แต่ผลการศึกษาพบว่า มีกระปลุกปั่นกระแสจากต่างประเทศเข้ามาผสมโรงโดยเฉพาะช่วงนี้จะหนาแน่นจากกลุ่มประเทศในอาเซียน และกลุ่มประเทศตะวันตก เสมือนเกิดสงครามโลกที่ประเทศไทยกำลังตกเป็นประเทศที่ถูกรุมถล่มให้ “เสาหลักของชาติสั่นคลอน” จึงจำเป็นต้องส่งข้อมูลเตือนไปยังประชาชนทั่วประเทศ ถ้าประชาชนทุกคนในชาติรู้เท่าทัน มีสติเกาะติดความเป็นจริง จะทำให้เราไม่แพ้สงครามโลกโซเชียลครั้งนี้ จึงเสนอให้ หยุดคุกคามประชาชน หยุดคุกคามผู้อื่นทุกรูปแบบ ชาติบ้านเมืองก็จะเดินหน้าได้ไม่สะดุด ความสงบสุขอยู่ที่สติและปลายนิ้วมือของทุกคน เพราะการศึกษาครั้งนี้ค้นพบชัดเจนว่าอารมณ์ของประชาชนมีส่วนถูกปลุกปั่นจากกลุ่มเคลื่อนไหวในต่างประเทศที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องการให้ประเทศแข็งแกร่งไปมากกว่านี้