สำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจไทย ชี้โครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุสูง แต่สัดส่วนคนวัยทำงานต่ำ และการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน เป็นปัจจัยบั่นทอนความน่าลงทุนของประเทศ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยแพร่บทรายงานของผู้สื่อข่าว ชูลี เหริน ระบุว่า แม้กรุงเทพฯติดอันดับ 10 แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโลกแต่นักลงทุนต่างชาติมองว่า ประเทศไทยไม่ใช่ตลาดที่น่าเข้ามาลงทุน
รายงานชิ้นนี้ บอกว่า ที่ผ่านมา ไทยได้รับเม็ดเงินลงทุนจากภายนอกในอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI มีสัดส่วนแค่ 1.3 % ของจีดีพี ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 3 % , ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 3.2 %, อินโดนีเซียอยู่ที่ 2.1 % ,และเวียดนามอยู่ที่ 6.3 % ของจีดีพี
รายงานบอกว่า ไทยเป็นแหล่งสุดท้ายที่นักลงทุนต่างชาตินึกถึง ตัวเลขล่าสุดในสัปดาห์นี้เผยให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสามขยายตัวแค่ 3.3 % ซึ่งนับว่าเติบโตในอัตราต่ำที่สุดนับแต่ปี 2559 และต่ำกว่าประมาณการของหลายสำนัก ในขณะที่เงินลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ฯไหลเข้าไปที่อินโดนีเซียและเวียดนาม
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ตลาดหุ้นของไทยไม่คึกคักอย่างในตลาดของเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยมาจากนักลงทุนภายในที่ซื้อกองทุนรวม แต่ยังมีคำถามว่า หากเงินเหล่านั้นย้ายออกไปลงทุนนอกประเทศแทน ตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร
บทวิเคราะห์ชี้ถึงสาเหตุที่ไทยไม่ดึงดูดการลงทุนว่า เป็นเพราะไทยกำลังแบกรับภาระผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนสูงในโครงสร้างประชากร และคนหนุ่มสาวในช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปีมีแค่ 38 % ในขณะที่กรณีของอินโดนีเซียและเวียดนามมีสัดส่วนประมาณ 50 %
สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่เงินลงทุนจากต่างประเทศไม่ไหลเข้าไทย คือ ภัยธรรมชาติ และความวุ่นวายทางการเมือง นับแต่ปี 2547 ไทยเจอตั้งแต่คลื่นสึนามิ รัฐประหาร การประท้วงบนท้องถนนหลายระลอก น้ำท่วมใหญ่ จนถึงรัฐประหารครั้งที่สอง
ไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่นิยมทหาร ในชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กับขบวนการทางการเมืองที่ริเริ่มโดยนายทักษิณ ชินวัตร ภายหลังการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยอาจเกิดการประท้วงและเหตุวุ่นวาย อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2549
บลูมเบิร์กทิ้งท้ายว่า เมืองไทยมีชื่อเสียงในเรื่องรีสอร์ทชายหาดที่น่าไปพักผ่อนในช่วงสั้นๆ แต่สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการลงทุนระยะยาวแล้ว น่าจะมองหาแหล่งลงทุนที่มีเสถียรภาพในที่อื่นๆ มากกว่า