ไม่พบผลการค้นหา
ยังคงมีความเสี่ยงว่าทวิตเตอร์อาจถูกทางการของสหภาพยุโรปประกาศแบน หากยังคงยึดนโยบายการบริหารเนื้อหาของแพลตฟอร์มภายใต้กฎของเจ้าของคนใหม่ ในขณะที่ อีลอน มัสก์ ผู้บริหารสูงสุดทวิตเตอร์ออกมาระบุว่า ตนได้พูดคุยกับ ทิม คุก ผู้บริหารสูงสุดของแอปเปิล และได้ “แก้ไขความเข้าใจผิด” ว่าทวิตเตอร์อาจถูกลบออกจากแอปสโตร์

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 พ.ย.) มัสก์ออกมากล่าวหาว่า แอปเปิลขู่จะถอดแอปพลิเคชันของตนออกจากแพลตฟอร์ม ทั้งการนำออกจากหน้าแอปสโตร์ และหยุดการโฆษณาเกือบทั้งหมดของตนบนทวิตเตอร์ อย่างไรก็ดี มัสก์ได้ออกมาทวีตข้อความเมื่อวานนี้ (30 พ.ย.) ว่า “ทิมพูดชัดเจนว่าแอปเปิลไม่เคยพิจารณาที่จะทำเรื่องอย่างนั้น” อย่างไรก็ดี มัสก์ไม่ได้ระบุว่าประเด็นการถอดโฆษณาของแอปเปิลออกจากทวิตเตอร์ ถูกนำมาพูดคุยกันระหว่างตนกับคุกหรือไม่

การพูดคุยกันระหว่างผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้งสอง มีขึ้นในขณะที่หลายบริษัทระงับการจ่ายค่าโฆษณาบนทวิตเตอร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแผนการกลั่นกรองเนื้อหาของมัสก์บนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นผลกระทบครั้งใหญ่ต่อบริษัท ที่อาศัยการโฆษณาเป็นรายได้หลักของตน

มัสก์ได้ออกมาสร้างความบาดหมางเมื่อวันจันทร์ โดยเจ้าของคนใหม่ของทวิตเตอร์กล่าวหาว่าแอปเปิล “เซ็นเซอร์” และวิจารณ์นโยบายของบริษัทตน รวมถึงเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อสินค้าจากแอปสโตร์ “แอปเปิลหยุดโฆษณาส่วนใหญ่บนทวิตเตอร์ พวกเขาเกลียดเสรีภาพทางคำพูดในอเมริกาหรือไม่” มัสก์ระบุโดยไม่มีหลักฐานจากข้อกล่าวหาดังกล่าว ก่อนที่มัสก์จะออกมากล่าวใหม่เมื่อวานนี้ว่า ตนมี "บทสนทนาที่ดี เหนือสิ่งอื่นใด เราแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับทวิตเตอร์ ที่อาจถูกลบออกจากแอปสโตร์ ทิมพูดชัดเจนว่าแอปเปิลไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้น "

ข่าวการพบเพื่อหารือกับแอปเปิล เกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์ได้รับแจ้งว่า ตนต้องเผชิญกับ “งานใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า” เพื่อทำให้ทวิตเตอร์เป็นไปตามกฎใหม่ของสหภาพยุโรป เกี่ยวกับการให้ข้อมูลเท็จ หรือถ้าหากไม่ปฏิบัติตามแพลตฟอร์มของตนอาจถูกแบนได้ 

เทียร์รี เบรตัน กรรมาธิการสหภาพยุโรปแสดงความคิดเห็นในการประชุมกับมัสก์เมื่อวันพุธ โดยเขากล่าวว่า ทวิตเตอร์จะต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การกลั่นกรองเนื้อหา การบิดเบือนข้อมูล และโฆษณาที่กำหนดเป้าหมาย ทั้งนี้ กฎหมายบริการดิจิทัล ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสหภาพยุโรปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ถือเป็นการยกเครื่องกฎควบคุมกิจกรรมออนไลน์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยตัวกฎหมายกำหนดภาระหน้าที่ใหม่ให้กับบริษัทต่างๆ เพื่อป้องกันการละเมิดบนแพลตฟอร์มของตน

ทั้งนี้ บริษัทใหญ่คาดว่าตนจะปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ของสหภาพยุโรปในปีหน้า โดยหากสหภาพยุโรปพบว่าบริษัทออนไลน์ใดๆ ละเมิดกฎดังกล่าว แพลตฟอร์มจะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 6% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลก หรือถูกแบนในกรณีที่มีการละเมิดร้ายแรงซ้ำๆ

ในแถลงการณ์หลังการประชุม เบรตันกล่าวว่าตนยินดีกับคำรับรองของมัสก์ว่า เขาจะทำให้ทวิตเตอร์พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎ "พูดให้ชัดคือ ยังมีงานใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า เนื่องจากทวิตเตอร์จะต้องดำเนินการตามนโยบายผู้ใช้ที่โปร่งใส ส่งเสริมการกลั่นกรองเนื้อหาอย่างเด่นชัด และปกป้องเสรีภาพทางคำพูด จัดการกับข้อมูลที่บิดเบือนด้วยการแก้ไข และจำกัดการโฆษณาที่กำหนดเป้าหมาย" กรรมาธิการยุโรปกล่าว

"ทั้งหมดนี้ต้องการ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และทรัพยากรมนุษย์ที่เพียงพอ ทั้งในด้านปริมาณและทักษะ ผมหวังว่าจะมีความคืบหน้าในด้านเหล่านี้ และเราจะมาประเมินความพร้อมของทวิตเตอร์ที่หน้างาน" นอกจากนี้ สหภาพยุโรปวางแผนที่จะดำเนินการ "ทดสอบความเครียด" บนแพลตฟอร์มในปี 2566 ก่อนจะมีการตรวจสอบในด้านอื่นๆ ที่กว้างขึ้น

นับตั้งแต่ที่มัสก์เข้าครอบครองทวิตเตอร์ด้วยเงินมูลค่า 4.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.54 ล้านล้านบาท) เมื่อเดือนที่แล้ว มัสก์ได้ไล่พนักงานออกหลายพันคน คืนสถานะผู้ใช้ที่เคยถูกแบน อาทิ โดนัลด์ ทรัมป์ และหยุดบังคับใช้นโยบายอื่นๆ อาทิ กฎที่มุ่งหยุดข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับโควิด-19 การกระทำดังกล่าวของมัสก์สร้างความตื่นตระหนกให้กับกลุ่มสิทธิพลเมืองบางกลุ่ม ซึ่งกล่าวหาว่ามหาเศรษฐีรายนี้กำลังจะเพิ่มคำพูดทีก่อให้เกิดความเกลียดชัง ข้อมูลที่ผิด และการละเมิดต่างๆ บนแพลตฟอร์มให้มากขึ้น

ในบล็อกโพสต์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ระบุว่า แพลตฟอร์มของตนไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ แต่กำลังทำการทดสอบเพื่อปรับปรุงแพลตฟอร์มให้เร็วขึ้น และจะอาศัยขั้นตอนมากขึ้นเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของเนื้อหาที่ละเมิดกฎ เพื่อให้เกิด "เสรีภาพทางคำพูด แต่ไม่ใช่เสรีภาพในการเข้าถึง”

“ทีมความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเรา ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อรักษาแพลตฟอร์มให้ปลอดภัย จากการกระทำที่แสดงความเกลียดชัง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และการละเมิดกฎของทวิตเตอร์” บริษัทกล่าวเสริม “ทีมงานยังคงแข็งแกร่งและมีทรัพยากรที่ดี และการตรวจจับอัตโนมัติมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการกำจัดการละเมิด”


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/business-63816110?fbclid=IwAR1xQdzqEtfR6z6REVPLcJt-m7MDeXtNXmN7YShc_ITJOKbdBhB0sgapUME