ไม่พบผลการค้นหา
ครม.รับทราบผลการปฏิบัติงานสำนักงาน ปปง. ส่งดำเนินคดีแล้ว 594 คดี ส่งให้พนักงานอัยการพิจารณา มูลค่ารวม 2.4 พันล้านบาท

วรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ว่า ครม.รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปี พ.ศ. 2564 มีสาระสำคัญ อาทิ 

1.การป้องกันการฟอกเงิน ได้ดำเนินการการตรวจสอบเพื่อวิเคราะห์หาความผิดปกติของธุรกรรมทางการเงินที่อาจเชื่อมโยงเกี่ยวกับการกระทำความผิด โดยส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ จำนวนทั้งสิ้น 594 คดี

2.การปราบปรามการฟอกเงิน ได้ตรวจสอบ สืบสวน สอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการกับทรัพย์สินผู้กระทำความผิด จำนวน 739 คำสั่ง โดยส่งให้พนักงานอัยการพิจารณา 158 เรื่อง มูลค่ารวมกว่า 2,393 ล้านบาท ส่วนการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดทรัพย์สินได้มูลค่ารวม 42,654 ล้านบาท ได้ดำเนินการโดย

1)ขายทอดตลาด จำนวน 22 ครั้ง ทรัพย์สินที่ขายได้ 580 รายการ คิดเป็นมูลค่า 98.52 ล้านบาท 2)นำทรัพย์สินออกบริหาร 1,606 รายการ มีรายได้จากการบริหาร 33.42 ล้านบาท 3)การนำทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดส่งคืนเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าทั้งสิ้น 172.85 ล้านบาท 4)นำทรัพย์สินที่ศาลสั่งตกเป็นของแผ่นดิน มูลค่าทั้งสิ้น 1,967.87 ล้านบาท

3.การกำกับและตรวจสอบผู้มีหน้าที่รายงาน ได้รับรายงานการทำธุรกรรม จำนวน 20.48 ล้านธุรกรรม โดยเป็นธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย จำนวน 129,875 ธุรกรรม และธุรกรรมเงินสดผ่านแดน จำนวน 3,645 ธุรกรรม

4.ความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้จัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองทางการเงินเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และได้ดำเนินการส่งเสริมและประสานความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ รวมจำนวน 55 ฉบับ กับ 52 ประเทศ

5.การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ระบบติดตามสถานะทางคดี (Case Tracking) พัฒนาระบบสนับสนุนข้อมูลการวิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงิน (Financial Transaction Analysis System: FTAS)

รัชดา กล่าวด้วยว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้ดำเนินงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ส่งผลให้ในปี 2564 ที่ประชุมกลุ่มต่อต้านการฟอกเงินเอเชียแปซิฟิก (Asia/Pacific Group on Money Laundering: APG)

พิจารณาเห็นชอบให้ไทยมีความสอดคล้องตามมาตรฐานสากลด้าน AML/CFT ในด้านกรอบกฎหมาย จำนวน 31 ข้อ คงเหลืออีก 9 ข้อ และด้านประสิทธิผล จำนวน 4 ด้าน คงเหลืออีก 7 ด้าน โดยในระยะต่อไป ได้วางแนวทางการดำเนินงานเพื่อรักษามาตรฐานที่ดีให้คงไว้ ขณะเดียวกันก็เร่งดำเนินการเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องให้ดีขึ้น


ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือ และยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือสำหรับเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบการขนส่งทางเรือ ซึ่งจะนำไปสู่ระบบคมนาคมที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับพัฒนาการเทคโนโลยีในปัจจุบัน ลดปัญหามลพิษทางอากาศ และป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อมทางน้ำเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน

สำหรับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ การกำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือ สำหรับขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่เจ้าของเรือแจ้งเปลี่ยนแปลงชนิดของเครื่องยนต์เรือหรือปรับปรุงเครื่องยนต์เรือ ซึ่งเมื่อครบ 5 ปีแล้ว ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้เรือในอัตราครึ่งหนึ่งตามที่กำหนดไว้ เป็นเวลา 10 ปี โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตใช้เรือพลังงานไฟฟ้าไว้ เช่น ขนาดไม่เกิน 10 ตันกรอส ให้คิดปีละ 100 บาท เกิน 10ตันกรอสแต่ไม่เกิน 20 ตันกรอส คิดปีละ 150 บาท เกิน 5,000 ตันกรอสขึ้นไป คิดปีละ 1,600 บาท

ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมได้ประมาณการสูญเสียรายได้จากเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตใช้เรือในปัจจุบันจำนวน 51 ลำ และเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่คาดการณ์ว่าจะมาขอใบอนุญาตใช้เรือเพิ่มเติมในภายหลังออกกฎกระทรวงโดยเฉลี่ยขนาดไม่เกิน 80 ตันกรอส จำนวน 1,800 ลำ รวมจำนวน 1,851 ลำ ประมาณการสูญเสียรายได้ต่อปีอยู่ที่ 614,740 บาท และประมาณการสูญเสียรายได้ 15 ปีอยู่ที่ 9,221,100 บาท สำหรับเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจะหมายถึง เรือที่ขับเคลื่อนตัวเรือให้เคลื่อนที่โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่(Battery Electric Vessel)เท่านั้น