นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายวิษณุ เครืองาม บอกว่า แม้ คสช.จะไม่มีแล้ว แต่ยังเรียกปรับทัศนคติได้ ในฐานะที่เคยถูกเรียกปรับทัศนคติมากที่สุดถึง 8 หน จึงอยากขอบอกว่า ประเทศไทยได้กลับสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่คำสั่ง คสช. ที่ให้อำนาจในการเรียกปรับทัศนคตินั้นยังอยู่ สวนทางกับระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ประเทศไทยนั้นมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ถ้าใครทำผิดฟ้องร้องกันไป ไม่ใช่จะเรียกกันมาปรับทัศนคติ เพราะในโลกประชาธิปไตยไม่มีใครทำแบบนี้ ยกเว้นจะเป็นระบบเผด็จการ
"ผมขอคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และชอให้ฝ่ายค้านนำเรื่องนี้เข้าสู่สภา และออกกฏหมาย เพื่อล้มเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคำสั่งของเผด็จการอย่างชัดเจน ไม่มีประเทศเสรีที่ไหนในโลกเขาทำ" นายพิชัย กล่าว
ส่วนที่อ้างว่าเพื่อความสงบเรียบร้อยนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศมา 5 ปีแล้ว หากคิดว่าประชาชนเห็นดีเห็นงามด้วย ก็ไม่ต้องกังวล ป้องกันไม่ให้คนวิพากษ์วิจารณ์ หรือ พูดอะไรที่ขัดหูรัฐบาล มันควรหมดไปตั้งนานแล้ว
นายพิชัย กล่าวว่า ถูกเรียกปรับทัศนคติมากที่สุด ยอมรับว่ารู้สึกกลัว ทั้งที่เพียงวิพากษ์วิจารณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น โดยมีการอ้างอิงตัวเลขที่ตรงกับความเป็นจริง ยืนอยู่บนหลักวิชาการ และต่อมาก็เป็นจริงอย่างที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด แต่เมื่อถูกเรียกกลับทำให้เรากดดัน เหมือนเกรงกลัว เพราะเหมือนกับการทำร้ายกันทางจิตใจ และหลอนอยู่เหมือนกัน เพราะเราคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่กลับถูกเรียกอย่างไม่ยุติธรรม ทั้งนี้เพราะหลายครั้งมีทหารถือปืนมาคุมตัว และบางครั้งก็ถูกคลุมหัวปิดตาพาไปกักตัวอยู่ถึง 7 วัน เพียงเพราะวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ
"ไม่มีใครในโลกนี้ ที่จะถูกเรียกปรับทัศนคติเพระาไปวิจารณ์เศรษฐกิจ ผมโดนทั้งหมด 8 ครั้ง ถูกเรียกดำเนินคดี 4 ครั้ง รวม 12 ครั้ง ประเด็นนี้จะทำให้รัฐบาลถูกกดดันต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มันเหมือนการข่มขู่ นอกจากนี้ การเรียกปรับทัศนคตินี้จะทำให้ประเทศไทยยังดูเป็นเผด็จการอยู่ ซึ่งจะทำลายความมั่นใจของนักลงทุนชาวต่างประเทศที่จะมาลงทุนในไทย" นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :