นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย มีความมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้บริการเสมอมา โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ธุรกิจ e-Commerce ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ใช้บริการต้องการที่จะส่งสิ่งของให้ถึงปลายทางด้วยความรวดเร็ว ไปรษณีย์ไทยจึงได้ยกระดับคุณภาพบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ในประเทศให้มีความรวดเร็วกว่าเดิม
ด้วยบริการ "ส่งเช้าได้บ่าย ส่งบ่ายได้วันรุ่งขึ้น" ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ใช้บริการเป็นอย่างดี หากส่งภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใน 10.30 น. หรือ 11.00 น. (ตรวจสอบได้ ณ ไปรษณีย์ที่ฝากส่ง) ของจะถึงมือผู้รับปลายทางภายในวันเดียวกันไม่เกิน 18.00 น. หากส่งจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายในเวลา 17.00 น. ของจะถึงมือผู้รับปลายทางทั่วประเทศในวันถัดไป และส่งจากภูมิภาคถึงปลายทางกรุงเทพฯ และปริมณฑล ของจะถึงมือผู้รับปลายทางในวันถัดไป
นอกจากการเพิ่มความรวดเร็วการจัดส่งแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังขยายเวลาให้บริการถึง 23.00 น. ที่ไปรษณีย์สามเสนใน ไปรษณีย์สำเหร่ ไปรษณีย์จรเข้บัว ไปรษณีย์นนทบุรี และพิเศษกับ "ไปรษณีย์ 24 ชั่วโมง 365 วัน" ที่เปิดให้บริการฝากส่งไม่มีวันหยุด ที่ไปรษณีย์เดอะสตรีท รัชดา ไปรษณีย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และศูนย์ไปรษณีย์ EMS หลักสี่ ซึ่งตอบโจทย์ผู้ประกอบการ e-Commerce ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีปริมาณชิ้นงานที่ผ่านเข้าสู่ระบบไปรษณีย์กว่า 8,000,000 ชิ้นต่อวัน ผ่านไปรษณีย์กว่า 10,000 จุดให้บริการทั่วประเทศ ไปรษณีย์ไทยจึงไม่หยุดพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า e-Commerce ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
นอกจากบริการที่พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแล้ว ล่าสุดไปรษณีย์ไทยยังจัดแคมเปญใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อพ่อค้า แม่ค้า e-Commerce ไทย โดยขยายเวลามอบส่วนลดค่าฝากส่งสูงสุดกว่าร้อยละ 70 สำหรับผู้ใช้บริการส่งสิ่งของแบบเก็บเงินปลายทาง หรือ COD ผ่านระบบ Wallet@Post ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 2562 โดยสิ่งของที่ฝากส่งที่มีพิกัดน้ำหนัก เกิน 500 กรัม – 2 กิโลกรัม ค่าบริการอยู่ที่ 55 บาท ส่วนน้ำหนักพิกัด เกิน 2 – 7 กิโลกรัม ค่าบริการอยู่ที่ 80 บาท และน้ำหนักพิกัดเกิน 7 – 10 กิโลกรัม ค่าบริการอยู่ที่ 100 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :