พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์ ว่า มาติดแนวทางปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในแต่ละวัน ว่าเตรียมความพร้อมข้อมูลก่อนแถลงให้ประชาชนรับทราบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ทั้งเรื่องข่าวและประชาสัมพันธ์ ไม่เช่นนั้นจะจัดหมวดหมู่ไม่ได้ จะกลายเป็นทำงานคนละทาง ซึ่งตนเอง ก็นำข้อมูลจากศูนย์มาใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก เพราะมีงานหลายอย่างต้องจัดการ จึงต้องแยกแยะเอาแต่ละอย่างขึ้นมาจัดลำดับความสำคัญ พร้อมทั้งเปรียบเทียบว่าเรื่องไหนที่ต่างประเทศทำได้ และไทยทำไม่ได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดในประเทศไทย ยังอยู่ในระยะ 2 แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่ในมาตรการระดับ 3 พร้อมทั้งย้ำว่ามาตรการที่ 3 กับระยะ 3 แตกต่างกัน โดยระยะ 3 เป็นระดับที่ WHO หรือ องค์การอนามัยโลก กำหนดขึ้นมา เพราะมีการแพร่ระบาดจากคนที่ 2 ไปบุคคลต่อๆไป ซึ่งประเทศไทยอยู่ในขั้นตอนนี้แต่ควบคุมได้ แต่เมื่อไหร่สถานการณ์ไปถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมแพร่ระบาดได้ ก็ต้องยกไประดับ 3 แน่นอน วันนี้ตนได้ให้แนวทางเพื่อเตรียมงานรองรับมาตรการของเจ้าหน้าที่ เพื่อรองรับการยกระดับสถานการณ์แพร่ระบาดไประยะที่ 3 ซึ่งได้เตรียมสถานที่ ทั้งโรงพยาบาลทหาร - เอกชน และประสานบางโรงแรมเข้ามาร่วมด้วย แต่จะพิจารณาอีกทีเพราะอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อคุมเข้มการระบาดไปแล้วเมื่อวาน หลังจากนี้ต้องติดตามว่ามีผลกระทบอะไรตามมาบ้าง แล้วไปแตกย่อยว่าจะดูแลกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไรบ้าง ซึ่งบางอย่างกำลังดำเนินการ แต่หลายอย่างก็ทำไปแล้ว ตามมติครม. แต่ยอมรับ การควบคุมคนจำนวนมาก เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าถึง จึงให้คำแนะนำว่า บางอย่างควรจะใช้ระบบออนไลน์มาช่วย เช่น การลงทะเบียนผู้ใช้แรงงานต่างด้าว ให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ พร้อมขอให้ทุกคนเข้าใจ และ ช่วยกันแนะนำข้อมูล ส่วนการเกณฑ์ทหาร หากเดือนเมษายนไม่เกณฑ์ ก็จะมีทหารหายไป 1 ใน 4 จะไม่เพียงพอ แต่หากเปิดเกณฑ์ทหารก็อาจมีจำนวนไม่มาก จึงต้องเปิดรับผู้สมัครใจ สมัครมาก่อน ส่วนจะเป็นวิธีออนไลน์หรือวิธีอื่น ก็ต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง
ยังไม่ปิดประเทศ แต่หากสถานการณ์หนักเหมือนอู่ฮั่นอาจต้องปิด
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องปิดประเทศ เพราะเมื่อปิดจะส่งผลกระทบ ส่วนการคุมเข้มแต่ละจังหวัด เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่พิจารณาได้ตามสถานการณ์ แต่การดำเนินการทุกอย่าง ต้องรายงานมาที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดรัฐบาล ทั้งนี้ระบุว่าการปิดประเทศ จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการใช้ชีวิตของประชาชน เหมือนเมืองอู่ฮั่นของจีน ที่ห้ามรถเข้า-ออก “ถามประชาชนต้องการแบบนั้นแล้วหรือยัง และประชาชนจะอยู่กันไหวหรือ ถ้าสถานการณ์ไม่รุนแรงแล้วเราปิดประเทศ” แต่หากสถานการณ์หนักไปถึงขนาดอู่ฮั่นก็ต้องปิดประเทศ และต้องวางแผนการอยู่ การกินของประชาชน จึงขอให้เข้าใจรัฐบาล ไม่อย่างนั้นก็จะไปคนละทาง 2 ทาง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ไม่คิดว่าวันนี้จะมีความขัดแย้ง โดยเฉพาะในรัฐบาล ไม่ได้คุยกับตน และในกระทรวงสาธารณสุข จึงย้ำว่าตนเปิดโอกาสให้กับทุกคนได้เข้ามาพบพูดคุย ซึ่งทุกวันนี้ตนก็เหนื่อย เพราะเปิดให้คนเข้าถึงได้ง่ายหลายช่องทาง และไม่ใช่ว่าตนจะเสพแต่โซเชียลอย่างเดียว เพราะโซเชียลก็จะมีคนคัดกรองส่งให้ตนเองอีกทีในแต่ละวัน ยังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ไม่ใช่มานั่งแก้ปัญหาโควิดอย่างเดียว
สิ่งสำคัญวันนี้คือสร้างความเชื่อมั่น ย้ำทำตามใจใครคนหนึ่งไม่ได้
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า ไทยคัดกรองทุกคนที่เข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะคนไทยในมาเลเซีย หลังจากได้ออกมาตรการปิดประเทศ และส่วนหนึ่งทางมาเลเซียก็มีการคัดกรอง และเตรียมการไว้แล้ว ส่วนคนที่ออกมา เราก็สั่งกักตัวหมด ทุกอย่างตรวจสอบได้ ส่วนคนที่เล็ดลอดมาตามแนวชายแดน ทหารก็เข้าควบคุม แต่ปัญหาก็คือ มีทั้งคนปฏิบัติตาม และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ดังนั้นสิ่งสำคัญวันนี้คือการสร้างความเชื่อมั่น เพราะเมื่อรัฐบาลทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจ ก็จะไปคนละทางหมด จะทำตามใจใครคนหนึ่งไม่ได้ ไม่งั้นจะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร มาตรการจะต้องมาจากแพทย์ ซึ่งเมื่อถึงเวลาตนก็กล้าทำในสิ่งที่ทุกคนต้องการ ส่วนวันแรกของการสั่งปิดสถานที่สุ่มเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี