เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 ส.ค. 2564 ที่รัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2565 วาระ 2 ตามที่คณะกรรมการธิการวิสามัญ พิจารณาเสร็จแล้ว
โดยพิจารณางบกลาง จำนวน 587,409,336,900 บาท นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าการที่คณะกรรมาธิการ ปรับลดงบประมาณลง 1.6 หมื่นล้านบาท มาลงงบกลางนั้น เห็นว่ากรรมาธิการวิสามัญจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด ซึ่งต้องขอความเห็นใจไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญ ว่าสิ่งที่เป็นประเด็นในสังคมขณะนี้ คือความไม่ไว้วางใจกับผู้ที่จะนำงบประมาณไปใช้ ตนเห็นใจกับกรรมาธิการเสียงข้างมากเป็นอย่างมาก ท่านตัดสินใจยากลำบากมากในชีวิตของการเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณฯ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตามธรรมเนียมปฏิบัติไม่เคยมีที่จะนำงบที่ปรับลดได้ไปใส่ในงบกลาง โดยเฉพาะงบประมาณที่ปรับลดมาจากแผนงานที่ชัดเจน เราจะนำไปเติมเต็มในจุดนั้น เว้นแต่การหลีกเลี่ยงและการเว้นการขัดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 144 งบประมาณที่ลงพื้นที่เฉพาะจึงหายไปหมด นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นต้นมา ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการไม่สามารถที่จะเสนอความเห็นเพื่อนำงบก่อนดังกล่าวไปลงพื้นที่ได้เลย เพราะหากมีพื้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ก็จะถูกตีความทันทีว่านำงบประมาณไปใช้
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า หากจะนำงบประมาณไปลงท้องถิ่น ก็จะต้องหลีกเลี่ยงการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยนำไปบัญญัติไว้ในหมวดการอุดหนุนทั่วไปโดยมีเป้าหมายในการถ่ายโอนภารกิจ เช่น เบี้ยหวัดผู้สูงอายุ เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อนำงบประมาณลงพื้นที่ไม่ได้ หากจะนำไปแก้ปัญหาโควิด-19 แต่ไม่มีช่องทางในการรับงบประมาณ ดังนั้น จึงสงสารกรรมาธิการเป็นอย่างมาก ที่จำเป็นจะต้องโยกงบประมาณไปไว้ที่งบกลาง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแล นอกจากนั้นงบกลางเป็นงบที่จัดไว้ให้สำหรับสิ่งที่ไม่มีหน่วยงานรองรับเฉพาะ โดยอุบัติภัย หรือภัยฉุกเฉินที่เกิดขึ้นมาจึงไม่รู้ว่าจะมีหน่วยงานใดใช้ จึงต้องโยกมาไว้ที่งบกลางก่อน
ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในการใช้งบกลางในการแก้ปัญหาโควิด-19 โดยเฉพาะขณะนี้ที่ประชาชนไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดของสภาแห่งนี้ภายหลังจากรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ 2565 แล้ว ขอให้เขียนรายละเอียดในงบกลางว่าจะต้องนำไปซื้อวัคซีนแบบ mRNA ให้กับประชาชนคนไทย
“อย่างไรก็ตาม ถ้านายกรัฐมนตรีประกาศขอบคุณคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ที่อนุมัติงบกลางเพิ่ม 1.6 หมื่นล้านบาท ให้รัฐบาลเพื่อนำไปจัดซื้อวัคซีน mRNA ให้กับประชาชนคนไทยทุกคน เนื่องจาก 30 ล้านล้านโดส ที่จะได้วัคซีนแบบ mRNA ภายในเดือน ก.ย.นี้มันไม่พอ จะได้ตัดปัญหาในการจัดซื้อวัคซีนของชิโนแวคทีละ 10 ล้านโดส ทำไมไม่เอา mRNA มาให้ทั้ง 2 โดส ทั้งที่ราคาแทบจะไม่ต่างกับวัคซีนซิโนแวค รัฐบาลไม่มีเงินเราให้ คุณก็ไปซื้อมา และเพื่อตัดข้อขัดแย้งของพี่น้องประชาชน ถ้าท่านประกาศอย่างนี้สภาของเรามีศักดิ์มีสี และมีเป้าหมายทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง”
ก้าวไกล เตือน ขัดรัฐธรรมนูญ
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เดิมงบกลางอยู่ที่ 5.7 แสนล้าน แต่กรรมาธิการฯได้เพิ่มให้อีก 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการไปตัดลดงบประมาณในส่วนอื่น โดยพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วย
“ในงบกลางมีเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 8.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่มีใครขอให้เพิ่ม แต่กรรมาธิการชุดนี้ ได้ขอเพิ่ม เพื่อใช้ในกรณีโควิด 19 ทั้งนี้ โดยหลักการแล้ว ควรจะมีงบกลางน้อยที่สุด เพราะถือว่าระดับความโปร่งใสต่ำที่สุด เป็นเหมือนการตีเช็คเปล่าให้กับนายกฯ ขาดเหลืออะไรก็ต้องมาไหว้ขอกับนายกฯ เหมือนมือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่มีหลักการกระจายงบประมาณอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม นอกจากนี้ยังตรวจสอบลำบาก”
สุรเชษฐ์ กล่าวว่า อย่าปล่อยให้มีงบ ส.ส.กลายพันธุ์ เมื่อวานนี้ (17 ส.ค.) มีการแจกบ่อน้ำบาดาล 2,117 โครงการ 23 จังหวัด คิดเป็นมูลค่า 6,170 ล้านบาท ซึ่งมาจากงบประมาณฉุกเฉินเร่งด่วน ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการนำงบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท เข้าไปอยู่ในงบกลาง ตนเป็นอนุกรรมาธิการฯ ความรู้สึกเหมือนแบบไถนาให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กิน เพราะกว่าจะปรับลดงบประมาณมาได้ ต้องใช้เหตุผลสารพัด และข้าราชการก็ไม่ชอบ แต่เราต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคุณประยุทธ์
“อย่างไรก็ตามอยากให้สมาชิกได้ไตร่ตรองรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ให้ดี ที่เขียนไว้ว่า ส.ส. กรรมาธิการ จะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการไม่ได้ ซึ่งเดิมงบกลางมี 11 รายการ แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มเป็น 12 รายการ จะเห็นว่าเป็นการเพิ่มเติม 1 รายการ และรายการดังกล่าว ก็สุ่มเสี่ยงการได้รับผลประโยชน์ทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น อาจได้บ่อบาบาล เป็นต้น”
พปชร. เผยรัฐบาล ส่งเรื่องของแปรญัญติ
วิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า ย้อนกลับไปปีงบประมาณ 2564 มีรายการงบกลางสำรองไว้เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จำนวน 4 หมื่นล้าน แต่ปี 2565 ไม่มีรายการดังกล่าว เป็นเหตุผลที่อนุกรรมการต้องปรับลดงบประมาณในส่วนต่างๆ มาดูแลและบริหารจัดการสถานการณ์ โควิด-19
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เสนอการแปรญัตติมาให้กรรมาธิการได้พิจารณา โดยกรรมาธิการไม่มีสิทธิที่จะตั้งรายการ หรือกำหนดรายการเพิ่มงบประมาณได้ด้วยตัวเอง เมื่อรัฐบาลเสนอการแปรญัตติเข้ามา จึงได้พิจารณาให้เงิน 1.6 หมื่นล้าน เข้าไปอยู่ในงบกลางเพื่อดูแลสถานการณ์โควิด
ต่อมาที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับงบกลาง จำนวน 587,409,336,900 บาท ตาม กมธ.เสียงข้างมากด้วยคะแนน 356 ไม่เห็นด้วย 52 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 4 โดยคาดว่า เสียงที่ไม่เห็นด้วยมาจาก ส.ส.พรรคก้าวไกล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง