ไม่พบผลการค้นหา
หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจบลงไปเมื่อวานนี้ (23 ต.ค.) พร้อมกับการประกาศว่า สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะยังคงครองอำนาจต่อไปในวาระที่ 3 อีก 5 ปี ทั้งนี้ โลกกำลังจับตาไปที่ หลี่เฉียง หนึ่งในคณะกรรมการกรมการเมือง (โปลิทบูโร) ซึ่งมีโอกาสในการขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป สืบเนื่องจากความใกล้ชิดและภักดีที่หลี่มีให้แก่สี

หลี่ในวัย 63 ปี ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำนครเซี่ยงไฮ้ เดินตามสีออกมาจากหลังฉาก ในการประกาศ 7 คณะกรรมการกรมการเมืองผู้มีอำนาจระดับบนสุดในการปกครองจีน ทั้งนี้ หลี่มีโอกาสในการรับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจากการประชุมสภาของจีน ซึ่งมีกำหนดการในช่วงเดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้ หลังจาก หลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน จะเกษียณอายุตนเองจากการดำรงตำแหน่งมาแล้ว 2 วาระ

เซี่ยงไฮ้เป็นนครที่เป็นแหล่งปั้นนักการเมืองระดับชาติจีนมาโดยตลอด แต่ต่างจากนายกรัฐมนตรีจีนคนก่อนหน้า หลี่เองกลับไม่มีประสบการของการเป็นรองนายกรัฐมนตรีจีนมาก่อนการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หลี่ยังขาดประสบการณ์ในการในการบริหารงานระดับภูมิภาคในภาพกว้าง อาทิ การเป็นผู้นำในมณฑลที่มีระดับความยากจนสูง ซึ่งมักเป็นข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับผู้ที่จะขึ้นมาครองอำนาจระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

หลี่มีชื่อเสียงมาจากการที่เขาประกาศการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้อย่างเข็มงวดเป็นเวลานาน 2 เดือน ส่งผลให้เกิดความโกรธแค้นในบรรดาประชาชน จนมีการประท้วงที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในจีนเกิดขึ้น อีกทั้งมาตรการล็อกดาวน์ของหลี่ยังส่งผลให้เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองท่าและอุตสาหกรรมสำคัญของจีน ต้องได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงตามไปด้วย

ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่า วังหยาง อดีตรองนายกรัญมนตรีจีน อาจขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจีนคนใหม่ แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของวังคือ เขาเป็นนักการเมืองที่เติบโตมาจากสายสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นศัตรูในทางการเมืองของสี และอาจเป็นภัยคุกคามในการปกครองของประธานาธิบดีวาระ 3 ในอนาคตได้

การแต่งตั้งให้หลี่มีอำนาจเป็นอันดับที่ 2 ของคณะกรรมการกรมการเมือง เป็นสัญญาณของการเลือกคนจากความภักดีและความไว้วางในของสีให้มาก่อนสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ดี หลี่มีประสบการณ์ในการบริหารงานด้านเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งช่วยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สีเลือกเขามาเป็นเบอร์ 2 ของพรรคคอมนิสต์จีน ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าในตอนนี้ สีถูกล้อมตัวไปด้วยพวก “ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” และไม่มีการเปิดทางให้กับศัตรูในทางการเมืองเข้ามามีตำแหน่งแห่งที่เลย

ความสัมพันธ์ของหลี่เฉียงกับสีมีมาอย่างยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ขณะที่สีเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าระดับภูมิภาคของมณฑลเจ้อเจียง โดยหลี่เองดำรงตำแหน่งเสนาธิการ และเป็นผู้ช่วยข้างตัวของสีทางพฤตินัยระหว่างปี 2547 ถึง 2550 ก่อนที่สีจะออกไปดำรงตำแหน่งระดับสูงในเซี่ยงไฮ้แทน โดยหลังจากสีครึ่งครองอำนาจ เขาได้แต่งตั้งให้หลี่เป็นผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียง ก่อนที่จะได้ตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจียงซู เพื่อให้หลี่มีประสบการณ์และการยอมรับระดับภูมิภาคของเขา ในการปูทางมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในศูนย์กลาง

หลี่พร้อมกันกับ ไช่ฉี และ หลี่ซี ซึ่งขึ้นมาเป็น 3 ใน 7 คณะกรรมการกรมการเมืองที่มีสีเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นส่วนหนึ่งของ “กองทัพจี้เจียงใหม่” ซึ่งทำงานภายใต้อำนาจของสีในสมัยการบริหารที่เจ้อเจียง ที่เป็นพื้นที่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ (จี้เจียงเป็นชื่อทางกวีที่ใช้เรียกภูมิภาคเจ้อเจียงอันยิ่งใหญ่) โดยในช่วงการบริหารงานที่เจ้อเจียงของสี หลี่ทำงานร่วมกับสีอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังคอยเป็นผู้ปรับแก้ร่างปราศรัย และช่วยร่างทิศทางนโยบายให้แก่สี

สียังได้แต่งตั้งให้หลี่ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำนครเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของสี ในการตั้งพันธมิตรของตนเองมายังตำแหน่งสำคัญของประเทศ และสร้างฐานอำนาจของตนในผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ในฐานะนายกรัฐมนตรี หลี่จะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศ ที่จะเข้ามาดูแลการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีน ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ที่รัฐบาลสีบังคับใช้มาอย่างเข้มงวดตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความสัมพันธ์อันตึงเครียดที่จีนมีต่อสหรัฐฯ ยังมีการคาดหวังว่า หลี่ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำนครเหวินโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของมณฑลเจ้อเจียง จะสามารถนำพาให้จีนรอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ได้

ยังมีการคาดว่าหลี่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูง ภายใต้แผนการปกครองของสี โดยกำหนดการแนวทางการพัฒนาดังกล่าว มีการประกาศเอาไว้ในรายงานที่ถูกตีพิมพ์มาจากสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลี่ยังเป็นประธานการดูแลการลงทุนจากต่างชาติจำนวนมากระหว่างการดำรงตำแหน่งของตนในเซี่ยงไฮ้ บางฝ่ายยกย่องว่าหลี่มีลักษณะการทำงานที่เป็นมืออาชีพและปฏิบัติได้จริง

ในฐานะคนสนิทที่เป็นที่ไว้วางในของสี หลี่อาจจะได้รับอิสระในการบริหารงานด้านเศรษฐกิขมากกว่าหลี่เค่อเฉียง ซึ่งถูกสีมองว่าเป็นภัยคุกคามทางอำนาจของตน อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า หลี่เฉียงไม่น่าท้าทายอำนาจสีได้มากเท่าหลี่เค่อเฉียง เนื่องจากประวัติการทำงานที่เขาจงรักภักดี และเดินตามแนวทางของสีมาโดยตลอด อาทิ การยอมล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อทำตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ จนส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง ความจงรักภักดีของหลี่ต่อสี ยังกลบประวัติการทำงานของหลี่ที่ไม่เคยมีความสำเร็จในทางการเมืองใหญ่ๆ ของตนมาก่อนเลย


ที่มา:

https://www.theguardian.com/world/2022/oct/24/who-is-li-qiang-the-man-poised-to-become-chinas-next-premier?CMP=Share_iOSApp_Other&fbclid=IwAR3_7NZ5NOk8I0GTied4hke86Lwpb03K4EVhVIKseV6P06aqxXd5lClu4WM