ทำเนียบขาวประกาศว่ารัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรจีนภายในวันนี้ (22 มีนาคม) เพื่อตอบโต้ที่จีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเอกชนอเมริกันมานานหลายปี ด้วยวิธีการออกกฎหมายบังคับให้บริษัทที่จะเข้าไปลงทุนในจีน ต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น เพื่อบังคับให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมถึงยังมีหลักฐานที่พบว่าจีนตั้งใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ และสั่งการหรือส่งเสริมการโจมตีทางไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ
ทำเนียบขาวยืนยันว่ารัฐบาลสองประเทศพยายามใช้วิธีเจรจาเพื่อแก้ปัญหาเรื้อรังนี้แล้ว แต่กลับล้มเหลว จึงนำเป็นต้องใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างจริงจัง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่รัฐบาลสหรัฐฯจะใช้ คือการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 100 รายการ คิดเป็นมูลค่าระหว่าง 30,000-60,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 900,000-1.8 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ มาตรการคว่ำบาตรยังรวมถึงการห้ามการลงทุนระหว่างกัน และสหรัฐฯยังอาจพิจารณานำประเด็นดังกล่าวฟ้องร้ององค์การการค้าโลก หรือ WTO ตามขึ้นตอนทางกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย ซึ่งหากมีการดำเนินการเช่นนั้นจริง หลายฝ่ายกังวลว่าสงครามการค้าที่เริ่มขึ้นตั้งแต่นายทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จะขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
นายโรเบิร์ต ไลไธเซอร์ หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กล่าวต่อที่ประชุมสภาคองเกรสว่ามาตรการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการปรับดุลการค้าระหว่างประเทศ และต้องทำโดยให้ผลกระทบตกอยู่กับจีนมากที่สุด แต่เป็นภาระต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันให้น้อยที่สุด
จีนยังไม่ได้ออกมาตอบโต้การประกาศคว่ำบาตรในครั้งนี้ แต่ก่อนหน้านี้นายหลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวในที่ประชุมสมัชชาประชาชนว่าสหรัฐฯและจีนควรรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และหวังว่าสหรัฐฯจะยอมผ่อนคลายความเข้มงวดในด้านการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงมายังจีน