ไม่พบผลการค้นหา
ประธาน นปช. เปรียบรัฐบาลเหมือนการบินไทยที่รอวันเจ๊ง หากยังปล่อยให้คนอดอยากหิวโหย แนะเลิกขี่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจับตั๊กแตน หลังสถานการณ์โควิด-19 ลดลง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันนี้ ตนในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่พยายามประคับประคองชาติบ้านเมืองและร่วมกันเสนอทางออกโดยไม่มีผลประโยชน์อื่นใดเกี่ยวข้อง แต่ทำด้วยฐานะที่ตนเป็นประชาชนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ต้องยอมรับความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ผ่านมาว่า แม้เวลานี้เราจะมีความภาคภูมิใจ กับตัวเลขที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19น้อยลง แต่เราอาจลืมก่อนหน้านี้ไปว่า เราได้รับการปฏิบัติการไอโอจะโดยทางตรงทางอ้อมก็ตามที่ให้คนไทยเกิดความหวาดกลัวกันทั่วหน้า ว่าหากไม่มีการปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง ประเทศไทยจะติดเชื้อหลายแสนคนและจะตายหลายหมื่นคน แม้ว่าปฏิบัติตามแล้วก็ยังติดเชื้อหลายหมื่นคน แล้วจะตายหลายร้อยคน เหล่านี้เราผ่านจุดที่จะต้องพิสูจน์คือผ่านวันที่ 15 เม.ย.มาร่วมเดือน ก็ปรากฏว่าข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะได้พิสูจน์แล้วทั้ง 2 ทฤษฎี ไม่ว่าจะมีการปฏิบัติแบบเข้มข้นหรือไม่มีการปฏิบัติ ตัวเลขผิดทั้งหมด 

นานจตุพร กล่าวว่า ตนมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารย์เเพทย์ท่านหนึ่ง ที่มีบทบาทหน้าที่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ก็ได้ถามว่าสถานการณ์โรคจริงๆของประเทศไทยนั้น เราอยู่ในสถานการณ์ใด ซึ่งอาจารย์แพทย์ก็ได้พยายามอธิบายว่าสาเหตุที่ประเทศไทยการแพร่เชื้อ ไม่รุนแรงเหมือนในหลายประเทศ ปัจจัยที่สำคัญคือคณะแพทย์ไทย ไปจัดการต้นเหตุ ณ จุดเริ่มต้นกันได้ก่อนหลังจากนั้นก็ดำเนินตามมาตรการต่างๆอย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ตามหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตและมีการสอบถามแลกเปลี่ยนกันว่า วัคซีนที่จะมาใช้ป้องกันโควิด-19 นี้จะต้องใช้ระยะเวลาอีกกี่เดือน ก็ได้รับคำตอบที่มีวิทยาศาสตร์เป็นรายละเอียดรองรับมากมาย โดยบอกว่า วัคซีนจะได้ภายใน 1 ปีครึ่ง นั่นหมายความว่า เราจะอยู่กับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปถึงเดือนธ.ค.2564 แม้เเพทย์บางคนจะบอกว่าจะเป็นเดือนเม.ย.2564  

แต่อย่างไรก็ตามอาจารย์เเพทย์ท่านนี้บอกว่า บทเรียนหลายโรคที่มี การยกตัวอย่างกันมากมาย ก็คาดการณ์ว่าต้องเป็นธ.ค.2564 ประเทศไทยถึงจะมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ดังนั้นไม่ว่าจะใช้สัดส่วนใดในการประเมิน ก็ยังคงต้องใช้เวลาร่วมปี ก็พอจะเห็นชะตากรรมของประเทศเช่นเดียวกันว่ามาตรการแจกเงินที่ประชาชนไปร้องทุกข์สิ้นสุดในวันที่ 15 พ.ค.นี้และการพิจารณาทบทวนสิทธิ์จะแล้วเสร็จในวันที่ 17 พ.ค.นี้ ก็จะรู้ว่าคนตกหล่นไปประมาณ 1,700,000 คนก็จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาใหญ่มากกว่านั้นคือ หากจ่ายเงินเยียวยาตรงเวลาครบ 3 เดือน แล้วหลังจาก 3 เดือนจะว่ากันอย่างไรต่อไป  

นายจตุพร กล่าวว่า มีการเปรียบเปรยกันว่าสภาพรัฐบาลปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับหน่วยงานก็คือ การบินไทย ที่รอเจ๊งทั้งคู่ แต่ก็ประคับประคองกัน ว่าจะเจ๊งกันไปแบบเบ็ดเสร็จเมื่อไหร่ เพราะในยามที่ประเทศเป็นปกติ การบินไทยก็เจ๊ง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากการเลือกตั้ง หรือ จะมาจากการรัฐประหาร คือ มีนายกรัฐมนตรีคนใดบ้างที่อยู่ในยุคที่การบินไทย ได้กำไร ในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่การบินไทยเคยเป็นสายการบินแห่งความภาคภูมิใจ แต่ด้วยความไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดระยะเวลา

เหล่านี้คือความท้าทายของการบินไทย ดังนั้นตนต้องการรักษาสายการบินแห่งชาตินี้ไว้ โดยเสนอให้เอกชนถือหุ้นร้อยละ39  ส่วนรัฐถือหุ้นร้อยละ 60 เพราะการบินไทยและสหภาพการบินไทยก็รู้ดีว่า หากเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น เอกชนกลายเป็นเสียงข้างมากก็จะไม่ปล่อยให้การบินไทยเป็นเช่นนี้ ดังนั้นหากการบินไทยยังไม่ทบทวนตัวเอง ยังเกลือกกลั้วกับทางการเมืองโดยไม่รู้จักแยกแยะสมบัติชาติทุกคนก็มีความอึดอัด จึงควรจะพอได้แล้วกับทัศนคติทางการเมืองแบบตื้นๆ ไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนหัวข้อที่ตนบอกว่า ไม่ได้แช่ง อย่างไรก็พัง อีกทั้งมองว่า รัฐใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในตอนนี้เปรียบเสมือน ขี่ช้างจับตั๊กแตน หรือ เผ่าป่าเพื่อฆ่าหนูตัวเดียว  

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ทางการเมืองความขัดแย้งในพรรครัฐบาล ก็ยังมีความครุกรุ่น มีเรื่องราวกันมากมายโดยเฉพาะพรรคหลักอย่างแกนนำพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าดูเงียบๆ แต่ เหมือนภูเขาไฟที่กำลังระเบิด อีกทั้งในระหว่างพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลต่างก็รอวัน สถานการณ์แบบนี้ไม่สอดคล้องกับประเทศที่มีสภาพที่กำลังพบกับความยากลำบาก แต่ตนอยากบอกกับประชาชนว่า ด้วยสถานการณ์แบบนี้รัฐบาลอาจไปดีใจกับผลโพล ว่ามีความนิยมเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ10 จากช่วงที่รัฐบาลทำจดหมายขอความเห็นจากมหาเศรษฐี ร้อยละ 36 วันนี้มาอยู่ที่ร้อยละ 46 ดังนั้นหากคิดว่านี่คือความสำเร็จ แต่ก็เป็นความสำเร็จด้านเดียวเท่านั้น เพราะว่าทุกคนต่างปรบมือให้กับหมอพยาบาลเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ประสบความสำเร็จในเรื่องโควิด-19 แต่ความอดอยากหิวโหยความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจสอบตกโดยสิ้นเชิง  

"อยากแนะนำให้ไปทำโพลเรื่องเศรษฐกิจบ้าง เช่น ท่านพึงพอใจกับเศรษฐกิจยุครัฐบาลชุดนี้หรือไม่ นี่คือ โลกแห่งความเป็นจริงในขณะที่ผลโพลพุ่งขึ้น แต่ชาวบ้านเอาหัวลง ดังนั้นสิ่งที่ตนพูดวันนี้อาจจะเป็นยาขมสำหรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่สิ่งสำคัญคือวันนี้เราจะอยู่กับยาหอมไม่ได้ เพราะมันเป็นมายาภาพ จะต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ว่า วันนี้ประชาชนมีความทุกข์ แต่ทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หรือกลไกของรัฐแทนที่จะลงถึงพื้นที่ก่อนที่ชาวบ้านจะมากรุงเทพ อย่างไรก็ตามตนได้ประเมินเหตุการณ์ทางการเมืองในอนาคตว่า จะไม่เหมือนกับในช่วง 10 ปีมานี้ ไม่เหมือนเรื่องคนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง แต่เป็นเรื่องของคนอดอยากหิวโหย และจะไม่มีแกนนำและใครควบคุมอะไรกันได้" นายจตุพร กล่าว