ไม่พบผลการค้นหา
บทลงท้ายที่สังคมไทยคุ้นชิน คือทุกคดี-ทุกการกล่าวหา แม้จะกระฉ่อนเพียงใด สุดท้ายจะตามด้วยความเงียบ เป็นทั้งความเงียบจากผู้มีอำนาจ และความเงียบจากกระบวนการยุติธรรมไทย

ผู้มีอำนาจยอมสูญเสียต้นทุนทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง เพื่อโอบอุ้ม-รักษา “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่แห่ง 3 ป.-พลังประชารัฐ ให้ดำรงอยู่ในอำนาจอย่างมั่นคง มิสะเทือนหวั่นไหว 

เมื่อคราวตั้งรัฐบาลประยุทธ์ 2 กระแสข่าวสะพัดว่า อาจไร้ชื่อ “ประวิตร” ร่วมรัฐบาล เหตุจากความบอบช้ำ กรณีนาฬิกายืมเพื่อน การจัดโผตำรวจ ผนวกกับบทบาทใหม่ในฐานะ “ศูนย์รวมใจพลังประชารัฐ-ผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง” 

แม้จะหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

แม้จะหลุดจากตำแหน่งผู้จัดโผสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

มีการโอนย้ายสองอำนาจสำคัญนี้ไปสู่มือ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เต็มรูป

ทว่า “ประวิตร”​ ยังคงนั่งในตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ยังคงนั่งหัวโต๊ะการประชุมเรื่องเล็ก-เรื่องน้อย ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล

เป็นรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงแรงงาน, สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน

นับแต่กรณีนาฬิกายืมเพื่อนก็ดี กรณีป่ารอยต่อก็ดี มาจนถึงกรณีบิ๊กโจ๊กก็ดี ส่งผลให้ข่าวสารของ “ประวิตร” เงียบลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจเป็นทั้งเจ้าตัวขออยู่อย่างเงียบๆ หรือถูกทำให้เงียบ 

“ความเงียบงัน" ดำเนินไปพร้อมกับ “ความอับแสงทางอำนาจ”​

ข่าวปิงปองระหว่าง ก๊กสมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์ กับ ก๊กประวิตร-ณัฐพล-สันติ-วิรัช ในพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นอีกหนึ่งบทสะท้อนความอับแสงทางอำนาจ

ไม่ว่าจะมีประโยคที่ “ประวิตร” เอื้อนเอ่ย ไปยัง “อุตตม-สนธิรัตน์” ให้ลาออกจากตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค-เลขาพรรค” จริงหรือไม่ 

ไม่ใช่ประเด็นเท่ากับว่า มีความขัดแย้งอยู่จริงระหว่างขั้วอำนาจหลักในพรรคพลังประชารัฐ

เทคโนแครต ย่อมไม่เข้าใจ วิถีการเมืองได้อย่างกระจ่างแจ้ง ฉันใด 

นักการเมือง ก็ย่อมไม่เข้าใจ วิถีเทคโนแครตได้อย่างกระจ่างแจ้ง ฉันนั้น  

พลังประชารัฐ จึงยากประสานเป็นพลังหนึ่งเดียว เพราะบรรดา ส.ส. ไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงแบบที่ได้มีการคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ และ จึงปรากฏร่องรอยความขัดแย้งต่อเนื่อง

เป็นความขัดแย้งที่พวกเดียวกันเอง ยังออกโรงเตือนทำนองว่า เรายังอยู่ในช่วงโควิดสิบเก้า ทำไมนักการเมืองอาศัยโอกาสนี้ พูดถึงเรื่องการแสวงหาอำนาจอีกแล้ว!!

ฉากทรรศน์สำคัญที่เป็นจุดตัดคือการพบปะกันระหว่าง “นายกรัฐมนตรี” และ “อุตตม-สนธิรัตน์” 

หลังการพบปะ ทั้งคู่ชิงความได้เปรียบทันที 

“อุตตม” ให้สัมภาษณ์ว่า “ในการพูดคุยมีทั้งเรื่องการทำงานและเรื่องการเมือง ท่านได้ให้กำลังใจและชี้แนะว่า เรื่องของพรรคน่าจะเรียบร้อยได้ด้วยการหารือ ตนและนายสนธิรัตน์จะทำตามนั้น นายกฯยังระบุด้วยว่าในงานที่ทำอยู่ขณะนี้ให้ทำต่อไป ทำด้านไหนอยู่ก็ทำด้านนั้นต่อไป เวลานี้เป็นเวลาทำงาน ไม่อยากให้มีเรื่องอื่นเข้ามาแทรก”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า นอกจากคุยกับนายกฯแล้ว ได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ “อุตตม” กล่าวว่า “ตนและนายสนธิรัตน์ให้ความเคารพ พล.อ.ประวิตรอยู่แล้ว และจะไปเข้าพบ พล.อ.ประวิตรเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไร เรื่องการเมืองเราพูดคุยกันได้ สุดท้ายจะได้ข้อสรุป” 

“สนธิรัตน์" กล่าวต่อว่า “เร็วๆ นี้คงมีโอกาสได้เข้าพบ พล.อ.ประวิตร ไม่มีอะไร ส่วนสถานการณ์ในพรรคนายกฯระบุว่าทุกอย่างยุติแล้ว ก็ไม่มีอะไร อย่าไปมองว่ามีอะไร ซึ่งมันไม่มี ทุกอย่างยุติ ทุกคนมุ่งหน้าทำงาน” และ "นายกฯย้ำว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งใดๆในช่วงนี้ นายกฯอยากให้มีการพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในพรรค เพื่อจะทำงานกันได้”

บัญชาของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญยิ่งไปยังศัตรูของ “อุตตม-สนธิรัตน์” 

เมื่ออำนาจใกล้อับแสง จึงหวนนึกถึงวันที่อำนาจเปล่งแสงแรงกล้า จนบาดตาใครต่อใครกันไปทั่ว

บทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่งของ “วัชระ เพชรทอง” แห่งพรรคประชาธิปัตย์ บอกเล่าบารมีอันแผ่ไพศาลของ “ประวิตร” ในช่วงเวลานั้นได้ดี

อ่านต่อได้ที่ บิ๊กป้อม : เดินเกมส์พิชิตใจ-ปลดล็อกกับดักคนจน “แก้หนี้-คืนโฉนด”

“วัชระ” เคยได้รับคำเชิญจาก “ประวิตร” ให้ร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านพักในซอยพหลโยธิน และนี่คือบทสัมภาษณ์สัมภาษณ์บางส่วนของวัชระที่ให้กับไทยโพสต์

วัชระ : พล.อ.ประวิตรนั่งอยู่หัวโต๊ะ ผมก็นั่งอยู่ขวามือท่าน ซ้ายมือเป็นพล.ท.กัมปนาท และถัดมาเป็น พล.ท.ที่มารับผม...พล.อ.ประวิตรพูดกับผมว่า ที่อยากคุยด้วยเพราะผมไปให้สัมภาษณ์พาดพิงถึง พล.อ.ประวิตร ผมก็บอกว่าจริงครับเพราะท่านมาให้สัมภาษณ์พาดพิงนักการเมืองก่อน และท่านได้มาเป็น รมว.กลาโหมก็เพราะนักการเมืองไม่ใช่หรือ

...ผมถามถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประชาชน เช่น เรื่องราคายางพารา การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร เรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่นประชาชนที่อำเภอน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ นับแต่มีประเทศไทยมา ประชาชนที่นั่นไม่มีโฉนดเป็นของตัวเองแม้แต่ใบเดียว คสช.ควรทำเรื่องปฏิรูปที่ดินเพื่อจัดสรรที่ดินให้ประชาชนมีโฉนดเป็นของตัวเอง พอฟังเสร็จท่านก็ยกหูถึง พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีต รมว.ทรัพยากรฯ ตอนนั้นทันที พอ พล.อ.ดาว์พงษ์รับสายท่านก็บอกว่า "หนุ่ย ปัญหาที่ดินที่อำเภอน้ำหนาว ชาวบ้านไม่มีโฉนด" พลเอกดาว์พงษ์ก็ตอบกลับมาในสายว่า "กำลังดำเนินการครับ"

วัชระ เล่าต่อไปว่า เมื่อได้ถามกรณีกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย พ.ต.อ.คนหนึ่งที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ สมัยเป็นอธิบดีดีเอสไอแถลงว่า เป็นคนจ้างวานมือปืนยิงวัดพระแก้วช่วงชุมนุมเสื้อแดงปี 53 ด้วยเงิน 5 แสนบาท ปรากฏว่ายุค คสช.กลับตั้ง พ.ต.อ.คนดังกล่าวมาเป็น ผกก.สน.บวรมงคล เขตบางพลัด ผมก็ถามว่าทำไมให้ตำรวจเสื้อแดงมาได้ดิบได้ดีในยุครัฐบาล คสช.

พล.อ.ประวิตรฟังเสร็จก็ยกโทรศัพท์โทร.หา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ชื่อเล่นว่าปู ตอนนั้นเป็น ผบช.นครบาลทันที แล้วคุยในสายโทรศัพท์ว่า "เฮ้ยปู ทำไมตั้ง พ.ต.อ.คนนี้มาเป็น ผกก.สน.บวรมงคล" ปลายสายก็ตอบกลับมาว่า "ผมย้ายไปอยู่ บก.น.4 เรียบร้อยแล้วครับนาย”

เมื่อผมพูดคุยถึงปัญหาต่างๆ ของประชาชนเรื่องไหน พล.อ.ประวิตรก็ยกหูโทรศัพท์โทร.หาคนที่รับผิดชอบเรื่องนั้นทันที แล้วก็คุยเรื่องต่างๆ เช่น ยางพารา ซึ่งระหว่างการพูดคุย พล.อ.ประวิตร บอกว่าไม่เคยคิดทุจริต ไม่โกงแม้แต่บาทเดียว ผมได้ยินแล้วก็ตบเข่าบอกว่า "แบบนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้" 

พอฟังเสร็จ พล.อ.ประวิตรก็หัวเราะชอบอกชอบใจ หน้าแดง แล้วตอบทันทีว่า "ผมไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นแล้วเหนื่อยจะตายห่า ไม่เชื่อไปถามไอ้มาร์คดู"

หรือ กรณีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เรื่องการจัดโผตำรวจในยุค คสช. ซึ่งไม่นานมานี้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เล่ารายละเอียด เป็นฉากๆ ปิดท้ายด้วยการแนะ “ลุงป้อม” ลาออก 

อ่านฉบับเต็มได้ที่ https://sondhitalk.com/2020/02/29/2609

สนธิ ลิ้มทองกุล เล่าไว้ว่า “แม้กระทั่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ยังต้องมานั่งรอหน้าห้องของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล (ยศตอนนั้นพลตำรวจตรี) เพื่อรอโผซึ่งส่งมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แก้ไขว่าควรจะใส่ใครๆ พี่ป้อม ยอมรับ ไม่ว่ายุคที่พี่ป้อม หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ก.ตร.นั้น การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจเละเทะที่สุดในประวัติศาสตร์ โผออกแล้ว ออกโผซ้ำ ออกแล้ว ออกซ้ำๆ ตอนนี้ พล.อ.ประวิตร ท่านต้องรู้ว่าเป็นฝีมือใคร ผมตั้งข้อสังเกตอย่างบริสุทธิ์ใจว่า เอาล่ะ สมมุติว่าท่านไม่รู้ ท่านต้องรู้นะ ว่าฝีมือใครบ้าง แล้วก็อ้างชื่อท่าน ผมก็ไม่รู้ว่าอ้างชื่อ หรือจริงๆ ท่านหนุนหลัง แต่ผมให้เกียรติท่าน ที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ว่าท่านคงไม่รู้เรื่อง

......ถ้าผมพูดด้วยความเคารพ ผมอยากให้พี่ป้อมลาออกเสีย อย่าเป็นเลย อย่าไปเป็นเลย ท่านอายุเท่านี้แล้ว ท่านอายุมากกว่าผม 2-3 ปี ท่านบายพาสหัวใจมา 4 เส้นแล้ว ท่านเดินก็เดินไม่ได้ ท่านนั่งประชุมท่านก็นั่งหลับ อำนาจมันหอมหวลแค่ไหนเหรอท่าน ท่านลาออกเถอะ เผื่ออะไรหลายๆ อย่างมันจะดีขึ้นมา เผื่ออะไรหลายต่อหลายอย่างมันจะได้ดีขึ้น ก็กลายเป็นว่าตั้งก๊งตั้งแก๊งกันในการเมือง“

เมื่อตอนไม่มีโควิด ยังเห็นภาพสองพี่น้อง จูงมือกันแนบแน่น

ทว่าหลังโควิด จะยังได้เห็นภาพน้องชายจูงมือพี่ชายเดินต่อไปด้วยกันหรือไม่ เป็นที่น่าจับตายิ่ง!!

วยาส
24Article
0Video
63Blog