วันที่ 20 มกราคม 2566 ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีความอื้อฉาวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หลังมีข้อมูลชี้ว่า ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านการข่าว ใช้อำนาจหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์แลกกับการช่วยเหลือขบวนการทุนจีนสีเทา ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ออกคำสั่งเด้งอธิบดีดีเอสไอไปปฏิบัติราชการที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และให้ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มารักษาราชการแทนอธิบดีดีเอสไอ
ปดิพัทธ์ กล่าวว่า อธิบดีดีเอสไอคนใหม่คงต้องรับงานหนักเพื่อสะสางปัญหาการทุจริตของคนในองค์กร ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้มีแค่กรณีขบวนการทุนจีนสีเทา ตนทราบจากแหล่งข่าวว่ายังมีเรื่องอื่น หนึ่งในนั้นคือกรณีคนใกล้ชิดของรัฐมนตรียุติธรรม เซ็นปลดอายัดรถหรูแลกเงิน โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่ดีเอสไอจับรถหรูเลี่ยงภาษีจากต่างประเทศ เตรียมส่งฟ้องศาล แต่ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอในยุครัฐมนตรียุติธรรมคนปัจจุบัน และตั้งอธิบดีดีเอสไอรักษาการขึ้นมา ก็เกิดขบวนการปลดอายัดรถเหล่านั้นออกทีละคันให้กับคนที่ยอมจ่ายเงิน รวมถึงมีการถอดทีมสอบสวนเดิมที่จับกุมรถผิดกฎหมายเหล่านี้ออกด้วย
ปดิพัทธ์กล่าวว่า ในวันที่ประชาชนหมดหวังกับตำรวจในการจัดการคดีตู้ห่าว และคาดหวังว่าดีเอสไอจะเข้ามาทำคดีพิเศษเหล่านี้ได้ดีกว่า แต่ปรากฏว่าดีเอสไอก็มีสภาพไม่ต่างกัน ในองค์กรเต็มไปด้วยการทุจริต ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นเหมือนฝีที่แตกหลังเกิดการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ทำให้เกิดระบบมาเฟียที่สนับสนุนการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำพูดใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ อาจเป็นเพราะน้ำท่วมปากหรือเพราะไม่สามารถจัดการกับการคอร์รัปชันของคนรอบข้างได้
“ไม่ว่าจะมีหลักฐานการทุจริต ประพฤติมิชอบของหน่วยงานกระทรวงต่างๆ อย่างไร เช่น รัฐมนตรีพาณิชย์กับกรณีทุจริตถุงมือยาง หรือ รัฐมนตรีเกษตรฯ กรณีปกปิดการระบาดของโรคอหิวาต์หมู จนถึงล่าสุดกับรัฐมนตรียุติธรรม เราก็ยังไม่เห็น พล.อ. ประยุทธ์ จะปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาทุจริต มีแต่ปรับเพื่อจัดสรรโควตาทางการเมือง คงเป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กลัวว่าจะไม่มีอนาคตทางการเมือง ถ้าคนเหล่านี้ไม่สนับสนุน” ปดิพัทธ์กล่าว