ไม่พบผลการค้นหา
รองนายกฯ รับเป็นเรื่องปกติ ตั้งงบสู้คดีเหมืองอัครา ปัดตอบต้องเสียงบจากคำสั่ง ม.44 ขอให้รอผลแพ้ชนะก่อน ยันการใช้อำนาจปิดเหมืองทองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เมื่อได้ในทางหนึ่งก็เสียอีกทางหนึ่งเป็นธรรมดา

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กรณีมีการเผยแพร่เอกสารงบประมาณปี 2564 โดยเป็นรายละเอียดระบุถึงค่าใช้จ่ายกว่า 111 ล้านบาทในการดำเนินการระงับข้อพิพาทเหมืองทองอัคราระหว่างราชอาณาจักรไทย กับบริษัท คิงส์เกต จากประเทศออสเตรเลีย ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ในทุกคดี รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย เมื่อมีข้อพิพาทในอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ศาลต่างประเทศ ในองค์การการค้าโลก หรือ WTO ต้องมีการจ้างทนายความส่วนจะถูกจะแพงนั้นตนไม่ทราบเป็นเรื่องของกระทรวง เช่นคดี บริษัท วอเตอร์บราวน์ ผู้รับเหมาจากประเทศเยอรมนี และเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และคดีบริษัทฟิลลิป มอร์ริส ที่ไทยมีปัญหากับฟิลิปินส์คดีน้ำตาลไทยกับบราซิล ใน WTO ที่เราไม่ฟ้อง เราก็ถูกฟ้อง ซึ่งต้องมีการจ้างทนายระหว่างประเทศในการสู้คดีและมีอัยการฝ่ายไทยในประกบดูแลคดี 

ทั้งนี้ยอมรับรัฐบาลไทย มีข้อพิพาทกับบริษัทคิงเกตต์จริง แต่ไม่ทราบว่ามีการเรียกเงินและใช้เงินเท่าใดในการสู้คดี ส่วนการใช้งบประมาณ 111 ล้านบาทในการสู้คดี นายวิษณุ กล่าวว่า ก็มีเสนอมา อย่างคดีบริษัท วอเตอร์บราวน์ ก็ใช้เงินในการสู้คดี 1,000 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องปกติที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะกำหนดงบประมาณในการสู้คดี  

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่าการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปิดเหมืองทองอัครา ทำให้รัฐบาลต้องเสียงบประมาณในการสู้คดี นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า เราอย่าเพิ่งพูดถึงนั้น เอาให้รู้แพ้รู้ชนะก่อน การที่รัฐบาลใช้อำนาจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เมื่อได้ในทางหนึ่งก็เสียอีกทางหนึ่งเป็นธรรมดา อย่างคดี บริษัท วอเตอร์บราวน์ที่ต้องการปกป้องประชาชนให้ได้ค่าผ่านทางในราคาถูก แต่เมื่อกระทบกิจการจนล้มละลาย มีการสู้คดีและแพ้ในศาลก็ต้องมีการชดใช้ ถึงแม้ใช้กฎหมายปกติก็ต้องใช้เงินในการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติทั่วไป