คำสั่งคุมการส่งออกสารเคมีสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งจำเป็นต่ออุตสาหกรรมการผลิตชิปและหน้าจอของเกาหลี มีผลเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะกระทบบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างซัมซุง แอลจี และเอสเคไฮนิกซ์ (SK Hynix) ซึ่งรวมกันแล้วมีมูลค่าการส่งออกราว 20 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อประเทศอื่นนอกจากญี่ปุ่นและเกาหลีด้วย เนื่องจากอีกทั้งซัมซุงกับเอสเคไฮนิกซ์รวมกันแล้วเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำประเภท DRAM ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของโลก
สมาคมการค้าระหว่างประเทศแห่งเกาหลีใต้ ชี้ว่าเกาหลีพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบทั้ง 3 ตัวซึ่งญี่ปุ่นสั่งควบคุมอย่างมาก เพียงในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2019 เกาหลีใต้พึ่งการนำเข้าสารฟลูออริเนเตดพอลีไอไมด์จากญี่ปุ่นถึง 93.7 เปอร์เซ็นต์ นำเข้าโฟโตเซนซิไทซิงเอเจนต์รีซิสต์จากญี่ปุ่น 91.9 และนำเข้าไฮโดรเจนฟลูออไรด์ 43.9 เปอร์เซ็นต์
แม้มาตรการของญี่ปุ่นจะไม่ใช่การแบน แต่ก็ทำให้ต้องมีการยื่นขออนุญาตทุกครั้งที่มีการส่งออกสินค้าทั้ง 3 รายการทุกครั้ง ซึ่งส่งผลให้กระบวนการส่งออกล่าช้าออกไปถึงคราวละ 90 วัน หรือ 3 เดือน
คำถามคือบริษัทเกาหลีมีสต็อกวัตถุดิบเหล่านี้เพียงพอถึง 3 เดือนหรือไม่
ในส่วนของไฮโดรเจนฟลูออไรด์ไม่น่าเป็นห่วงมากนักเนื่องจากยังมีอุปทานอีกกว่าครึ่งจากจีน ไต้หวัน และอินเดียได้ แต่สำหรับสารอีกสองชนิด คือ ฟลูออริเนเตดพอลีไอไมด์ ซึ่งใช้ผลิตหน้าจอแสดงผล และโฟโตรีซิสต์ (น้ำยาไวแสง) ซึ่งใช้ในการผลิตชิปหน่วยความจำที่จำเป็นต่อสมาร์ตโฟน เกาหลีต้องพึ่งสารทั้งสองชนิดจากญี่ปุ่นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ความล่าช้า 90 วันนี้จึงอาจส่งผลต่อกระบวนการผลิตได้
ขณะที่ไม่มีการเปิดเผยที่เชื่อถือได้ว่าบริษัทเกาหลีมีวัตดุดิบในการผลิตเหลืออยู่เท่าไร นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ในหลายทิศทาง ปาร์กแจกึน ประธานสมาคมเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และหน้าจอแสดงผลเกาหลี แสดงความคิดเห็นกับสำนักข่าวโคเรียจุงอังเดลีย์ ว่าคาดว่าต่อให้ญี่ปุ่นคุมการส่งออกโดยทันที บรรดาบริษัทเกาหลีน่าจะอยู่ไปได้อีก 4 เดือน โดยซัมซุงและเอสเคไฮนิกซ์ เร่งซื้อวัตถุดิบหลักจากญี่ปุ่นให้มากที่สุดก่อนวันที่ 4 กรกฎาคม แจกึน คาดว่าจะทำให้มีวัตถุดิบในสต็อกสำหรับผลิตสินค้าได้ 3 เดือน และมีสินค้าคงคลังซึ่งน่าจะซื้อเวลาได้อีก 1 เดือน
"ต่อให้ญี่ปุ่นจำกัดการส่งออกวัตถุดิบโดยทันที อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีก็จะอยู่ไปได้อีกสี่เดือน แต่หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อนานกว่านั้น ทั้งบริษัทเกาหลีและญี่ปุ่นจะเผชิญกับความเสียหายที่มิอาจแก้ไขได้" ปาร์กแจกึน กล่าว พร้อมเล่าว่าด้วยเหตุผลด้านคุณภาพวัตถุดิบ ซัมซุงใช้ฟลูออริเนเตดพอลีไอไมด์จากบริษัทซูมิโทโมะเคมิคอลของญี่ปุ่นโดยเฉพาะสำหรับสมาร์ตโฟนตัวท็อป รวมถึงกาแล็กซีโฟลด์ สมาร์ตโฟนพับได้ซึ่งซัมซุงเปิดให้สั่งจองอยู่ด้วย
แม้แจกึนจะคาดว่าบริษัทเกาหลีจะมีเซมิคอนดักเตอร์เพียงพอสำหรับการผลิตอีก 3 เดือน แต่เขาก็ชี้ว่าโฟโตรีซิสต์นั้นเป็นวัตถุดิบที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะไม่มีแหล่งอื่นนอกจากญี่ปุ่น และทั้งซัมซุงรวมถึงเอสเคก็ไม่น่าจะมีวัตถุดิบในสต็อกเพียงพอ
ในทางกลับกัน เขายังชี้ว่าในกรณีสุดโต่ง หากเกาหลีโต้กลับโดยการจำกัดการส่งออกหน้าจอ OLED บ้าง บริษัทญี่ปุ่นอย่างโซนี่ ก็จะไม่สามารถผลิตโทรทัศน์ตัวท็อปได้ และหากระงับการส่งเซมิคอนดักเตอร์ให้ญี่ปุ่น บริษัทอย่างโซนี่และชาร์ปก็จะประสบปัญหาในการผลิตสมาร์ตโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่นกัน
สำหรับแอลจีนั้นดูเหมือนจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าบริษัทผู้ผลิตชิป สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าแอลจีดิสเพลย์ บริษัทลูกของแอลจีด้านการผลิตหน้าจอ ระบุว่าในขณะนี้แอลจีดิสเพย์ไม่ได้ใช้ฟลูออริเนเตดพอลีไอไมด์ซึ่งนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่จะได้รับผลกระทบจากการจำกัดการส่งออกไฮโดรเจนฟลูออไรด์มากกว่า ทั้งนี้เกาหลีนำเข้าสารดังกล่าวจากญี่ปุ่นเพียง 43.9 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ทางด้านลีจงฮวาน ศาสตราจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมระบบเซมิคอนดักเตอร์ มหาวิทยาลัยซังมยอง คาดการณ์ต่างออกไปจากปาร์กแจกึน ว่าบริษัทผู้พัฒนาชิปเกาหลีนั้นน่าจะมีสต็อกวัตถุดิบในรายการคุ้มเข้มของญี่ปุ่นอยู่เพียงประมาณ 2 เดือนเท่านั้น
ขณะที่เว็บไซต์นิกเคอิเอเชียนรีวิว อ้างว่าข้อมูลจากสำนักข่าวเกาหลีชี้ว่าซัมซุงมีสารวัตถุดิบทั้งสามชนิดอยู่ในสต็อกพอสำหรับเพียง 1 เดือนเท่านั้น พร้อมชี้ว่าเซมิคอนดักเตอร์นับเป็นสินค้าส่งออกราว 20 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท
ฮงนัมกี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทสและคิมคีนัม รองประธานและประธานฝ่ายโซลูชันอุปกรณ์ของซัมซุงได้พบกันเพื่อหารือถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม อย่างไรก็ตามซัมซุงยังเก็บตัวเงียบ โดยโฆษกซัมซุงระบุว่าว่าซัมซุงระมัดระวังที่จะออกความเห็นใดๆ เป็นทางการเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศด้วย
ในขณะเดียวกัน วันที่ 5 กรกฎาคม บริษัทซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ได้เผยว่ารายได้ในไตรมาสที่สอง (เมษายน-มิถุนายน) อยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านล้านวอน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 56.3 เปอร์เซ็นต์
ที่มา: The Korea Times / SCMP / Yonhap News Agency / Nikkei Asian Review / Korea Joongang Daily
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: