ไม่พบผลการค้นหา
พรรคเพื่อไทยเสนอ 7 มาตรการช่วยประชาชน ที่ตกงานขาดรายได้ ช่วงวิกฤตไวรัส โควิด -19 พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลปรับงบประมาณที่มีอยู่

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนี้เกิดจากความสับสนในการดำเนินงาน การออกมาตราการ การประสานงาน ของรัฐบาล จนเกิดความเสี่ยงกับประชาชน โดยมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือ การมีศูนย์รวมในการสั่งการที่ชัดเจน มีศูนย์แถลงข่าวเพียงศูนย์เดียว เพื่อให้เกิดการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ และหลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการปิดสถานประกอบการ ทำให้พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี ทั้งภาคท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้าปลีกรายเล็ก ได้รับผลกระทบ 

มาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 จากมาตรการของรัฐบาลให้ปิดสถานประกอบการ คือเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการควบคู่กับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด โดยเฉพาะต้องเร่งช่วยคนตัวเล็ก คือ พนักงาน, ลูกจ้าง, ผู้ใช้แรงงาน จากมาตรการปิดสถานที่ต่าง ๆ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่าง SMEs โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, ร้านค้าปลีกรายเล็ก และอื่นๆ โดยขอเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบดังต่อไปนี้ 

1. มาตรการสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ต้องถูกเลิกจ้าง คนตกงาน ถูกพักงาน 

  • 1.1 สำหรับคนที่ต้องออกจากงาน ตกงาน หรือพักงาน เพราะผลกระทบจาก โควิด-19 เดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (หากมีงานทำก่อน ก็ยกเลิกการอุดหนุนเบี้ยยังชีพนี้) 
  • 1.2 พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยทุกประเภท ให้ประชาชน ทั้งหนี้ผ่อนบ้าน, ผ่อนรถ-มอเตอร์ไซค์, ผ่อนรถยนต์, ผ่อนเครื่องมือทำการเกษตร หรือผ่อนเครื่องมือทำมาหากินอย่าง คอมพิวเตอร์ (ที่เป็นหนี้มาก่อน ไม่ใช่หนี้ใหม่) เป็นเวลา 6 เดือน ก่อนเป็นเบื้องต้นนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 
  • 1.3 ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ประชาชนทุกประเภท  
  • 1.4 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังต้องถูกกัดตัว 14 วัน ต้องจ่ายชดเชยรายได้ให้คนละ 5,000 บาท 
  • 1.5 ช่วยลดค่าน้ำค่าไฟ ให้ผู้มีรายได้น้อย ใช้ไม่เกิน 1000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน  
  • 1.6 สำหรับเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนออนไลน์ และพนักงานที่ต้องทำงานจากบ้านให้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งให้เอกชนช่วยสนับสนุนบางส่วน 
  • 1.7 ขอความร่วมมือภาคเอกชนงดเก็บค่าเช่าให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กอย่างน้อย 3 เดือน โดยลดภาษีให้ผู้ประกอบการ 

2. มาตรการสำหรับภาคธุรกิจ ต้องเร่งช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง SMEs กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มผู้ผลิต ขนาดเล็กขนาดกลาง ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร รับจัดอีเว้นท์ สปา ฯลฯ ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดย 

  • 2.1 พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือนก่อนในเบื้องต้น นับตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นไป 
  • 2.2 ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธุรกิจเล็ก กลางที่ได้รับผลกระทบ ให้เหลือ 3% พร้อมทั้งปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้เอกชนพอที่จะยืนอยู่ได้ ในสภาวะเช่นนี้  
  • 2.3 ให้soft Loan “สินเชื่อเพื่อต่อชีวิตธุรกิจ”ในอัตราดอกเบี้ย 1% เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SMEs (โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนหลักเกณฑ์ในการให้สินเชื่อ และค้ำประกันเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์) 
  • 2.4 ให้เงินอุดหนุนนายจ้าง”ไม่ให้เลิกจ้างพนักงาน” โดยช่วยสนับสนุนค่าจ้างพนักงานบางส่วน 
  • 2.5 ลดราคาน้ำมันตามราคาตลาดโลก โดยเฉพาะให้ยกเลิกการเก็บภาษีน้ำมันดีเซล เพื่อลดต้นทุนการผลิต 
  • 2.6 เลื่อนการจ่ายภาษีนิติบุคคลออกไปอีกหกเดือน สำหรับธุรกิจSMEs และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ 

3. มาตรการสำหรับเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและกำลังมีปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 

  • 3.1 พักชําระหนี้เกษตรกรทุกชนิด 6 เดือน หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น อาจขยายเวลาเพิ่มขึ้น 
  • 3.2 เร่งจ่ายชดเชยค่าภัยแล้ง ไร่ละ 2,500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ ส่วนเกษตรกรที่มีพื้นที่น้อยให้ขั้นต่ำรายละ 25,000 บาท  
  • 3.3 จัดสรรเงิน SML 500,000-800,000-1,000,000 บาท ให้หมู่บ้านนำไปพัฒนาแหล่งน้ำ ถนนในหมู่บ้าน โดยให้ใช้แรงงานในพื้นที่เท่านั้น

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้รัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนงบประมาณในแต่ละกระทรวงที่ไม่จำเป็น มาใช้ในการแก้ปัญหา หรือ ซื้อเครื่องมือแพทย์ รวมถึงปรับวิธีใช้งบประมาณทั้งส่วนราชการส่วนกลาง งบกลาง งบท้องถิ่น งบส่วนภูมิภาค แต่ทั้งนี้ต้องให้อำนาจผู้ว่าราชการมีอำนาจในการดำเนินการ เพราะตอนนี้มีเพียงการสั่งการให้ท้องถิ่นดำเนินการตามมาตรการ แต่ไม่มีการมอบอำนาจในเรื่องของการใช้งบประมาณส่วนใดมาดำเนินการ ทำให้ท้องถิ่นรู้สึกกังวล

ด้าน นพ.ทศพร เสรีรักษ์ หัวหน้าศูนย์โควิด-19 กล่าวเพิ่มเติมว่า เท่าที่ทราบขณะนี้เครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ จึงอยากให้รัฐบาลอาจจะเจรจาติดต่อกับประเทศจีน เพื่อทำจีทูจี ช่วยเหลืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้งบประมาณต่างๆเกิดการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เมื่อเปรียบแล้วหากรัฐบาลจะทำห้องไอซียูที่สมบูรณ์ ต้องใช้งบประมาณมูลค่า 5 ล้านบาท หากรัฐบาลไม่นำงบประมาณไม่ซื้อเรือดำน้ำมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท รัฐบาลก็จะสามารถทำห้องไอซียูได้ถึง 6,000 ห้อง