วันที่ 25 ก.พ. ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมไม่ลาออก ราชอาณาจักรไทยจะประสบความวิบัติล้มเหลว ท่านมีปัญหาตั้งแต่การเข้ามามีอำนาจโดยมิชอบ ลุแก่อำนาจ สืบทอดอำนาจ เป็นโรคหลงตัวเอง มีบุคลิกภาพแปรปรวน
“ถูกโจมตีเป็นนายกฯ 500 สื่อบางฉบับเขียนว่า ประยุทธ์ 500 ข้างนอกเป็นประชาธิปไตย แต่ภายในเป็นเผด็จการ อยู่มา 5 ปีแล้วจนประเทศบ้านเมืองนี้เป็นแบบนี้ น้ำหมดเขื่อน เงินหมดคลัง ผู้คนหมดหวัง ตราชั่งก็หมดตรง เขาว่ากันอย่างนี้ครับ” นพ.ชลน่าน กล่าวและเปิดภาพชี้ให้เห็นถึงการแสดงออกของนักศึกษาที่แสดงออกผ่านทางโซเชียลมีเดีย หลังจากไม่พอใจ ต่อต้านการบริหารประเทศของรัฐบาล และไม่ไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นายกฯ มีปัญหาเรื่อง “ฮุบเงินครู” กองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ เม็ดเงิน 2 กว่าพันล้านบาท ท่านใช้อำนาจ ม.44 ไปยึดเงินมาเป็นของรัฐ ยกเลิกกรรมการคุรุสภา องค์การค้า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ สกสค. จนกระทบกับครูและครอบครัว เงินพวกนี้เป็นเงินของคณะบุคคล แต่ท่านไปยึดเอาผลประโยชน์ของคนอื่นมาเป็นของรัฐ ซึ่งหากตีความตามกฎหมาย นับเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ถือเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นนายกรัฐมนตรี
ประเด็นต่อมาคือ ปัญหา ‘เหมืองอัครา’ หรือ เหมืองทองคำชาตรี โดย บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดทเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ถูกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใช้มาตรา 44 สั่งระงับตั้งแต่กระบวนการผลิต การต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมแร่ทองคำ การสำรวจ การต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ
ความเสียหายที่เกิดขึ้น คือ บริษัท คิงส์เกตฯ ได้ใช้สิทธิทาฟตา TAFTA: ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย นำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการโลกตัดสิน พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดเชยค่าเสียหายให้บริษัทเป็นจำนวนเงินประมาณ 750 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า รายละเอียดในคำสั่ง มาตรา 44 การอ้างของรัฐบาลไทยนั้นมีช่องโหว่เต็มไปหมด เปิดโอกาสให้ถูกฟ้องร้องกลับ โดยคู่กรณีเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ขัดหลักนิติธรรม รวมถึงมองว่า ผู้ใช้อำนาจเข้าสู่อำนาจไม่ชอบธรรมด้วย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อนุญาโตตุลาการโลกพิจารณาแล้วและเตรียมชี้ขาดว่า ราชอาณาจักรไทยต้องชดใช้เท่าไหร่ ซึ่งต้องรอคำวินิจฉัยอีก 6-7 เดือน
ทั้งนี้ เมื่อคำนวณในภาพรวมแล้ว หากไทยแพ้ต้องจ่ายเงินหลายก้อน ทั้งค่าประกัน ค่าทนาย ค่าเสียหายต่างๆ รวมแล้วหลายหมื่นล้านบาท และต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่า “ผมรับผิดชอบเอง” ก็ทำไม่ได้ ไม่ไหว ต้องเป็นเงินของประเทศ
ปูด พล.อ. ว. เอี่ยวฮุบเหมือง
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงต้องใช้อำนาจ มาตรา 44 ในการปิดเหมืองที่เปิดมานานหลายสิบปี เพราะกฎหมายปกติก็น่าจะสามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเคยถูกคำสั่งปกติปิดมาแล้ว ซึ่งเมื่อลองสืบค้นลงไปพบว่า เหมืองดังกล่าว มีผลประกอบการดีมากตั้งแต่ปี 2536 จึงน่าสงสัยว่ามีขบวนการฮุบเหมืองหรือไม่ โดยจากข้อมูลมีนักธุรกิจรายหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ว เข้ามาเกี่ยวข้อง โดย พล.อ.ว.ดังกล่าวเองก็มีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ มีพฤติกรรมอยากได้เหมือง ตรงนี้เป็นแรงจูงใจใหญ่หลวงให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนาม มาตรา 44 ยึดเหมือง โดยไม่รู้ว่าจะเสียหายตามมามากขนาดไหน
“ถ้าสภาแห่งนี้ยังให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำในฐานะนายกรัฐมนตรีในราชอาณาจักรไทย เราจะล้มเหลวทั้งหมด และถ้าท่านไม่ไปด้วยอำนาจของสภา ท่านก็ไปด้วยอำนาจของประชาชน ท่านจะเดินในบ้านเมืองนี้อย่างคนไม่มีความสุขในที่สุด” ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวและว่า เมื่อมองสีหน้า ท่าทางของ พล.อ.ประยุทธ์ พบว่าไม่เหมาะจะเป็นนายกฯ แต่ “เหมือนเป็นมิสเตอร์ บีน”
ส.ส.น่าน กล่าวว่า โดยสรุป นายกฯ ต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ รวมถึงบอกด้วยว่าจะรับผิดชอบอย่างไรหากประเทศไทยแพ้ในคดี ‘เหมืองอัครา’ พร้อมขอให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากฝ่ายเดียวกันเพื่อบ้านเมือง
“ท้ายสุดผมไม่ไว้ให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ถ้าไม่เชื่อผม ท่านจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ประยุทธ์ junta(เผด็จการทหาร)” นพ.ชลน่านกล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :